🇭🇷 Croatia : Small Country, Big Dreams 🇭🇷

…มหากาพย์ 106 ภาพจากเหนือจรดใต้กับประเทศในฝันของผม “โครเอเชีย”…

…อัลบั้มนี้ผมจึงขอนำภาพสวย ๆ พร้อมทั้งข้อมูลต่าง ๆ อาจจะเยอะบ้างน้อยบ้างสลับกันไป ก็จะบรรยายรำพึงรำพันไปเรื่อย ๆ เผื่อสำหรับใครที่สนใจหรืออยากรู้ว่าประเทศเล็ก ๆ ที่มีจำนวนประชากรประมาณ 4 ล้านกว่าคนนี้มีอะไรที่สวยงาม มีเสน่ห์ และมีอะไรเจ๋ง ๆ ให้เราควรรู้จักกันบ้าง…

…โดยผมจะพาไปรู้จักกับ 5 เมืองที่ได้มีโอกาสเดินทางไปสัมผัสมาเริ่มตั้งแต่เมืองหลวงที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศอย่าง “Zagreb” ก่อนจะลงมายังตอนกลางแวะเที่ยวน้ำตกที่ “Plitvice Lakes National Park” อุทยานแห่งชาติที่เป็นมรดกโลก ก่อนจะเดินทางลงมายังเมืองติดริมฝั่งชายทะเลเอเดรียติกกันที่ “Sibenik” “Split” “Trogir” ตามลำดับ แล้วเลาะขอบประเทศสัมผัสความงดงามของเมืองที่ได้สมญานามว่า “ไข่มุกแห่งท้องทะเลเอเดรียติก” ที่เมือง “Dubrovnik” ซึ่งทุกที่ที่ผมจะพาเพื่อน ๆ ไปชมกันนั้นล้วนเป็นเมืองเก่ามรดกโลกด้วยกันทั้งหมด…

…ใครสนใจโปรแกรมดีดีแบบนี้ไปติดตามกันได้ที่เพจนี้ได้เลย https://www.facebook.com/Wearewanderlusttravel/ ซึ่งผมเองได้เดินทางไปในฐานะช่างภาพที่คอยถ่ายภาพลูกค้าประจำกรุ๊ปให้ได้ภาพสวย ๆ กลับมากันไป..

…เพื่อไม่ให้เสียเวลาเลื่อนชมภาพกันไปเรื่อย ๆ ได้เลยครับ.. 106 รูป เปิดโหลดปล่อยไว้แป๊บนึงแล้วกลับมาลากดูกันยาว ๆ เลย

…อุปกรณ์สำหรับบันทึกภาพอัลบั้มนี้ | Nikon D750 + 14-24 mm / 35 mm / 70-200 mm

www.facebook.com/forzanufoto

…แผนที่ภาพรวมการเดินทางเริ่มต้นตั้งแต่ Zagreb ไล่ลงมาอุทยานแห่งชาติ Plitvice และเริ่มเลาะขอบชายทะเลเอเดรียติกกับเมืองท่าสำคัญอย่าง Sibenik, Trogir, Split ซึ่งแต่ละเมืองก็สวย ๆ และยังเป็นเมืองมรดกโลกอีกด้วย .. ก่อนจะปิดท้ายความงดงามแบบพีค ๆ ที่ Dubrovnik เมืองที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “ไข่มุกแห่งท้องทะเลเอเดรียติก : The Pearl of The Adriatic Sea”

…ข้อมูลเพิ่มเติมเล็กน้อย…

…สภาพอากาศที่โครเอเชีย (ก็จะปรวนแปรกันไปตามกาลเวลานะ นี่ก็แค่คร่าว ๆ )
• ฤดูใบไม้ผลิ / มี.ค. – มิ.ย. / อุณหภูมิประมาณ 10 – 20 องศาเซลเซียส (แต่ช่วงที่มามิถุนานี่ก็ร้อนสุดปาไป 30 กว่าได้แล้วนะ)
• ฤดูร้อน / ก.ค. – ส.ค. / อุณหภูมิประมาณ 20 – 30 องศาเซลเซียส
• ฤดูใบไม้ร่วง / ส.ค. – ต.ค. / อุณหภูมิประมาณ 12 – 17 องศาเซลเซียส
• ฤดูหนาว / ต.ค. – ก.พ. / อุณหภูมิประมาณ -5 – -10 องศาเซลเซียส

ปลั๊กไฟ / แนะนำว่าให้เอาแบบสองขาที่เป็นขากลม แล้วก็หาสายพ่วงยาวเพื่อความสะดวกต่อการชาร์จอุปกรณ์ที่นับวันมีแต่จะเยอะขึ้น ๆ 555

เวลาที่โครเอเชีย / จะช้ากว่าไทยประมาณ 5 ชั่วโมง

ภาษาที่ใช้ / ก็ใช้ภาษาอังกฤษพูดแทนได้ครับ

สกุลเงิน / อันดับแรกแลกยูโรไปก่อน แล้วค่อยไปแลกสกุลเงินคูน่า (Croatian Kuna) ที่ประเทศเค้าอีกที .. อย่าคิดว่าเป็นประเทศในกลุ่มอียูแล้วจะรับยูโยนะครับ เพราะร้านค้าที่นี่ส่วนใหญ่จะไม่รับเงินยูโรจ้ะ

วีซ่า…
1.  วีซ่าเชงเก้น / ให้ทำแบบ Multiple ก็คือคนที่เดินทางไปหลายประเทศต่อเนื่องกัน วิธีนี้ก็จะง่ายสุด คือไปยืนวีซ่าเชงเก้นแบบปกติ แล้วตอนยื่นให้เราใส่ทำแผนเที่ยวโครเอเชียเข้าไปด้วย เช่น ออสเตรีย – สโลวีเนีย – โครเอเชีย – บอสเนีย – มอนเตเนโกร อะไรประมาณนี้ .. แล้วก็เลือกเป็นแบบ Multiple ไปซะ ที่เหลือก็ลุ้นเรื่องผ่านอนุมัติกันต่อไป
2.  วีซ่าโครเอเชีย / อันนี้สำหรับคนที่จะเดินทางไปโครเอเชียประเทศเดียวเลย ข้อมูลลองศึกษาหาอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ http://www.vfsglobal.com/croatia/thailand/Thai/Tourist.html เพราะการขอต้องใช้เวลานานเกือบเดือนเนื่องจากไม่มีสถานฑูตที่ประเทศไทยต้องส่งไปไกลถึงอินโดนีเซีย .. ดังนั้นผมว่าวิธีแรกจะสะดวกกว่า

…เริ่มต้นการเดินทางกันที่ “เมืองหลวงกรุง Zagreb” ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ โดยมีพื้นที่ความสูงประมาณ 122 เมตร จากระดับน้ำทะเล โดยเมือง Zagreb นั้นจะมีอยู่ในส่วนของเมืองที่อยู่ด้านล่าง(Lower town) กับด้านบนเนินเขา(Upper Town) แต่ก็ไม่ได้สูงต่างถึงกับต้องปีนป่ายอะไรจนเดินไม่ได้ .. คนที่นี่เค้าก็เดินกันแต่ก็จะมีอีกทางก็คือขึ้น “รถราง Funicular (Zagreb Electric Tram)” ที่จะเชื่อมระหว่างเมืองด้านล่างและด้านบน ซึ่งรถรางนี้จะแล่นด้วยระยะทางจากล่างขึ้นบน บนลงล่างใช้เวลาประมาณ 1 นาทีเท่านั้น ระยะทางก็จากล่างถึงด้านบนเพียง 66 เมตร .. และด้วยระยะทางที่สั้นขนาดนี้นี่จึงเป็น “รถรางที่มีระยะทางแล่นที่สั้นที่สุดในโลก”.. เท่กันไป ..ส่วนราคาก็ 4 คูน่า (ประมาณ 20 บาทบ้านเรา)

…Zagreb Cathedral… มหาวิหารซาเกร็บ..

…จะอยู่ในเขตพื้นที่ส่วน Upper Town เดินผ่านตลาดมาสักเล็กน้อยก็จะพบกับโบสถ์ขนาดใหญ่ หรือมหาวิหารที่มียอดแหลมตั้งเด่นเป็นตระหง่านอยู่คู่กัน ซึ่งมหาวิหารแห่งนี้เป็นรูปแบบสไตล์นีโอ-โกธิค โดยความเก่าแก่อยู่ที่ร่วมกว่า 800 ปีมาแล้ว โดยก็มีการปรับปรุงบูรณะอยู่ตลอดเวลา .. และที่มากไปกว่านั้นนี่คือสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดของประเทศโครเอเชียด้วยนะ

…ภายในก็งดงามตามแบบของมหาวิหารทั่วไปที่เราพบเห็นได้มากมายในยุโรป แต่พอต่างที่ต่างถิ่นก็อาจมีความแตกต่างกันไปบ้างตามการออกแบบ ซึ่งแม้มหาวิหาร Zagreb Cathedral นี้จะไม่ได้มีพื้นที่กว้างใหญ่หากเทียบกับที่อื่น ๆ แต่ด้วยความเก่าแก่ และเรื่องราวประวัติศาสตร์แล้วก็ถือว่าเป็นสถานที่สำคัญของประเทศอีกแห่งหนึ่งที่เมื่อมาแล้วก็ต้องมาชมความงดงามกันสักหน่อย..

…บรรยากาศของเมืองซาเกร็บนั้นเราสามารถเดินได้สบายโดยพื้นที่ก็อาจไต่ระดับขึ้นลงบ้างตามสเตป เดินไปพกกล้องสักตัวจะเป็นเลนส์องศากว้าง ๆ เก็บได้ทั้งอาคารสองฝั่ง หรือจะเปลี่ยนมาใส่เลนส์เทเลซูมก็ได้ตามแต่ใจก็ได้อีกฟิวล์ของภาพไป.. แม้ที่ประเทศโครเอเชียอาจจะไม่ได้มีชื่อเสียงกิตติศัพท์ด้านมิจฉาชีพสักเท่าไหร่ หากเทียบกับกรุงโรม หรือปารีส มาดริด บาร์เซโลน่า แต่ทุกครั้งที่มายุโรปสิ่งที่เราทุกคนต้องไม่ลืม และจะไม่ลืมก็คือการระมัดระวังตัวจากมิจฉาชีพ.. จะเปลี่ยนเลนส์หรือหยิบของอะไรทีก็ส่องซ้ายส่องขวา ดูหน้าหลังให้เรียบร้อยก่อนเพื่อความปลอดภัย

…สินค้าของที่ระลึกก็มีขายอยู่มากมายข้างทางก็ตระการตาดีนะ เดินมองกันจนตาลายเลยยิ่งสัญลักษณ์ของประเทศเป็นลายตราหมากรุกด้วยแล้วก็ดูเตะตาดีจริง ๆ ..

…อ้อ !! สินค้าที่ระลึกของเมืองซาเกร็บที่พบเห็นได้เยอะ ๆ ก็จะเป็นรูปทรงหัวใจสีแดงที่มีอยู่มากมาย ก็ถือว่าเป็นเอกลักษณ์อีกอย่างของ Zagreb ก็ว่าได้

** เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ** สกุลเงินที่เราใช้เมื่อมาประเทศโครเอเชียก็คือ “คูน่า : Croatian Kuna” เฉลี่ยง่าย ๆ ก็ 1 คูน่า = 5 บาทไทย.. เวลาซื้อของอะไรก็ใช้เงินคูน่านี่แหละ (ส่วนเงินยูโรส่วนใหญ่จะไม่ค่อยรับ นอกจากร้านค้าใหญ่ ๆ ทางที่ดีแลกคูน่าไว้จะสบายใจที่สุด)

…อัลบั้มภาพโครเอเชียเซ็ทนี้เลนส์ที่ใช้ส่วนใหญ่จะเป็นช่วง 14-24 mm กับช่วง 70-200 mm คือถ้าไม่เก็บความกว้าง ๆ ไปเลยก็จะเป็นแนวใช้เทเลเจาะซะส่วนใหญ่ .. ข้อดีของเลนส์กว้าง ๆ ก็คือตามตรอกซอกซอยบ้านเมืองแถบยุโรปนั้นโดยมากจะเป็นตรอกเล็ก ๆ หากเลนส์ไม่กว้างพอก็จะเก็บบรรยากาศให้ครบ ๆ ได้ยาก .. แต่พอได้ช่วงเลนส์ประมาณ 14-24 มม.ใช้งานก็ทำให้ปัญหาทั้งหมดหายไป.. จบได้ในภาพเดียว อย่างภาพนี้เป็นต้น…

…ดังนั้นใครที่เดินทางบ่อย ๆ ก็ลองคำนวณกับตัวเองก่อนการเดินทางว่าเราจะไปไหน บ้านเมืองเป็นแบบไหนจะได้พกเลนส์มาได้ตรงตามต้องการ .. เพราะถ้าแบกเกินมามันก็หนักหนาอยู่นะ

… St.Mark’s Chuch เดินไปเดินมาเรื่อย ๆ ก็มาถึงอีกจุดหนึ่งไฮไลท์ของเมืองซาเกร็บก็คือโบสถ์เซนต์มาร์ค ที่มีจุดเด่นอยู่ที่หลังคาปูกระเบื้องที่เป็นรูปตราสัญลักษณ์ของประเทศโครเอเชีย – สโลเวเนีย – ดัลมาเชีย และตราสัญลักษณ์ของเมืองซาเกร็บ(ปราสาทสีขาวบนพื้นสีแดง) อยู่ด้วยกันแลดูสวยงามแปลกตากว่าโบสถ์ที่เคยพบ.. เห็นไหมบอกแล้วโครเอเชียมีอะไรเท่ ๆ เจ๋ง ๆ อยู่เรื่อย ๆ …

…ซึ่งโบสถ์ St.Mark’s Church แม้จะไม่ได้เป็นโบสถ์ที่มีขนาดใหญ่ แต่ก็เป็นอีกหนึ่งโบสถ์ที่มีอายุอานามเก่าแก่ที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่เมื่อราวศตวรรษที่ 13 .. แน่นอนว่ามาถึงที่นี่แล้วก็ต้องถ่ายภาพเก็บเป็นที่ระลึกกลับไปเพื่อยืนยันว่ามาถึงกรุงซาเกร็บแล้วจริง ๆ

… Tramp สีฟ้าน้ำเงินประจำเมืองซาเกร็บมาแล้วจ้า… ก็ตามสไตล์ยุโรปทั่วไปที่จะมีรถแทรมป์ให้เราได้ถ่ายรูปเท่ ๆ อยู่เรื่อย ๆ และที่ซาเกร็บนี่เองก็เช่นกัน

… Zrinjevac Park ..

…ปิดท้ายกันที่สวนสาธารณะโซนสีเขียวอีกแห่งของเมืองหลวงซาเกร็บที่เราได้มาเดินเล่นพักผ่อนความร้อนแรงของช่วงวันในหน้าร้อนที่บอกได้คำเดียวว่าร้อนไม่แพ้บ้านเรา แดดหน้าร้อนที่โครเอเชียนี่โหดร้ายใช่ย่อย..
…จากภาพนี้ไปก็เตรียมเดินทางย้ายสู่แนวธรรมชาติกันบ้างนะ

**********************

…จากบรรยากาศของเมืองเราย้ายมายังจุดหมายการเดินทางเล็ก ๆ ถัดมาที่ “หมู่บ้าน Rastoke” จากภาพแล้วก็เรียกสั้น ๆ ให้เข้าใจกันง่าย ๆ ว่าหมู่บ้านน้ำตก.. เพราะนี่คือหมู่บ้านที่อยู่ท่ามกลางน้ำตกที่ไหลผ่านไปผ่านมา แหม่.. น่าอิจฉาคนในหมู่บ้านนี้จริง ๆ ..

หมู่บ้าน Rastoke อยู่ไม่ไกลนักจากอุทยานแห่งชาติ Plitvice Lakes National Park จุดหมายลำดับต่อไปของเรา.. ซึ่งเส้นทางก็จะผ่านหมู่บ้านน้ำตกนี้ก่อนก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ทุกคนจะต้องแวะชื่นชมบรรยากาศกันสักหน่อย

…ผมเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับการพักผ่อนนะ เขาว่ากันว่าเสียงที่มนุษย์เราฟังแล้วมีความสุข และจะรู้สึกผ่อนคลายที่สุดก็คือเสียงของน้ำตกนี่แหละ.. พอได้มาเจอหมู่บ้านนี้เข้าไปเลยนึกขึ้นได้เลยว่าคงจริงแท้แน่ ๆ ลองให้เป็นเราได้มีได้ยินเสียงน้ำตกเบา ๆ ไหลเอื่อย ๆ ทั้งวันเชื่อเลยว่าคงแฮปปี้กันบานตะไทแน่นอน…อย่างที่รู้กันว่าถ่ายน้ำตกจะให้สวยก็ต้องใช้ขาตั้งกล้องเพื่อเพิ่มความนิ่งให้กับกล้อง เปิดสปีดชัตเตอร์ต่ำ ๆ เลือกรูรับแสงให้สอดคล้องกับสภาพอากาศ และมุมมองที่เราอยากสื่อที่เหลือก็รอภาพสวย ๆ ได้เลย

…ในที่สุดก็มาถึงหนึ่งในความภาคภูมิใจของชาวโครเอเชียก็ว่าได้กับ “อุทยานแห่งชาติ Plitvice Lakes National Park” ซึ่งนี่คือหนึ่งในอุทยานแห่งชาติที่เก่าแก่ที่สุด และมีขนาดพื้นที่ใหญ่ที่สุดของประเทศโครเอเชีย

…และที่การันตีความคลาสสิคไปอีกระดับก็คือได้ถูกจารึกอยู่ในมรดกโลกด้วยนะ…

…เส้นทางเดินชมภายในอุทยานก็จะมีด้วยกันหลายระยะทางซึ่งเราสามารถเลือกได้ว่าจะเดินแบบไหน แบบขั้นสุดก็จะอยู่ที่ประมาณเกือบ 20 กม. และแบบน้อยสุดก็จะราว ๆ ไม่เกิน 5 กม. ซึ่งยิ่งเราเดินมากเท่าไหร่ก็ยิ่งได้มุมสวย ๆ มากเท่านั้นเพราะที่นี่เต็มไปด้วยทั้งมุมของน้ำตก และทะเลสาบที่น้ำนิ่งสงบสวยราวกับกระจกยังไงยังงั้นเลย

…เส้นทางการเดินภายในอุทยานนั้นจะเป็นสะพานไม้ไปเรื่อย ๆ ตามทางสลับขึ้นลงบ้างตามสภาพของพื้นที่ แต่เดินง่ายครับ คนสูงอายุมาเดินกันให้เพียบทั้งชาวยุโรปเอง หรือแม้แต่ชาวเอเชียอย่างเรา ๆ ก็มาเที่ยวกันเยอะ..

…ซึ่งอีกสิ่งหนึ่งที่อดจะชื่นชมไม่ได้ก็คือการจัดการเรื่องความสะอาดภายในพื้นที่นี่แหละ.. คือจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยอะขนาดนี้แต่เราแทบจะไม่เห็นเศษขยะเลยสักชิ้นก็ว่าได้.. เห็นแล้วก็สะท้อน ๆ มาถึงบ้านเรา 555

…การถ่ายน้ำตกจะให้น้ำดูสวยนุ่มพริ้วไหวก็ควรขาตั้งกล้องอย่างที่รู้กันดีอยู่แล้ว.. แต่การจะเอาขาตั้งกล้องมาใช้กับที่พลิตวิเซ่นั้นอาจยากไปสักหน่อย เพราะผู้คนเดินไปเดินมาเยอะมากอาจไม่สะดวก ครั้นบางจุดได้มุมสวยมุมดีแต่ตำแหน่งวางขาตั้งคือแนวทางเดินสะพานไม้ที่คนเดินตลอดก็มิวายที่จะเจอแรงสั่นสะเทือนอีก..

…เอาเป็นว่าใครอยากแบกมาอย่างผมก็ลองดูครับ อย่างภาพนี้วางขาไม่ได้เลยเพราะคนเยอะมาก แถมโดนเบียดอีก.. สุดท้ายก็ได้คือยกกล้องถ่ายเก็บมาให้เห็นแบบนี้ก็ได้… T_T

…บางคนใช้เวลาครึ่งวันสำหรับการเดินในอุทยานรอบเล็ก บางคนหมดเวลาเต็มวันทั้งวันสำหรับการเดินรอบใหญ่ บางคนวันเดียวไม่พอต้องมาซ้ำวันที่สองเพื่อให้ได้มุมสวย ๆ ก็เอาเป็นว่าใครที่หากมีโอกาสได้มาก็ลองดูนะว่าเรามีเวลามากน้อยแค่ไหน แพลนกันให้ดี ๆ เพราะความสวยงามที่เราจะเจอที่นี่นั้นบอกเลยว่าจะตรึงตาตรึงใจเราไปอีกนานจริง ๆ …

**********************

…เดินทางกันต่อสู่เมืองถัดไป “Sibenik” เป็นเมืองท่าเล็ก ๆ ริมชายฝั่งทะเลเอเดรียติก (Adriatic Sea) ที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเขตปกครองดาลเมเชีย (Dalmatia) คือภูมิภาคในบริเวณฝั่งตะวันออกของทะเลเอเดรียติกซึ่งก็คือทางฝั่งโครเอเชียนั่นเอง…

…ความน่าสนใจของเมือง Sibenik ก็คือนอกจากชายฝั่งทะเลเอเดรียติกที่สวยงามแล้วก็ยังมีโบสถ์ มหาวิหาร สภาว่าการเมืองเก่าที่น่าสนใจ รวมถึงพื้นที่ตามตรอกซอกซอยที่เราสามารถเดินทะลุกันได้

…บรรยากาศภายในเมืองเล็ก ๆ แลดูไม่วุ่นวาย สงบ ๆ แต่ในวันอากาศร้อนหน้าร้อนแบบนี้ก็ทำให้เรารู้สึกถึงสภาพอากาศที่แทบไม่แตกต่างจากบ้านเรา เผลอ ๆ เข้าอาจจะร้อนกว่าอีก.. ดังนั้นใครมาโครเอเชียหน้าร้อนอย่าลืมครีมกันแดดมาด้วยนะ

…อย่างที่บอกไปว่าเมืองนี้ก็จะมีในส่วนของตึกเล็ก ๆ ตามตรอกซอกซอยให้เราได้เดินเล่นถ่ายรูปกันเพลิน ๆ ด้วยสีสันของบ้านเรือนก็ทำให้เราได้ภาพที่น่าสนใจได้ไม่ยาก.. ที่เหลือก็อยู่ที่มุมมองของแต่ละคนแล้วแหละว่าอยากสื่ออะไรออกมาแบบไหน.. อย่างผมก็เลือกใช้เลนส์ช่วงกว้าง ๆ เพราะสถานที่นั้นค่อนข้างคับแคบการจะเก็บภาพให้ได้หมดนั้นเป็นเรื่องยาก..ก็ต้องพึ่งพาอุปกรณ์กันสักหน่อยเพื่อปรับเปลี่ยนมุมมอง

…สิ่งหนึ่งที่เห็นได้จากแทบจะทุกร้านขายของที่ระลึกก็จะไม่พ้นเสื้อบอลที่ปักชื่อของเหล่านักเตะสตาร์ดัง ๆ ไว้เป็นของฝากกลับบ้านไป.. ซึ่งแน่นอนว่าโครเอเชียคือสถานที่ในฝันอันดับหนึ่งของผม บวกกับช่วงที่มาก็ก่อนบอลโลก 2018 พอดิบพอดี.. การได้มาครั้งนี้จึงถือว่าเป็นโบนัสพิเศษของชีวิตเลยก็ว่าได้..

…ปิดท้ายเมือง Sibenik สำหรับใครที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ซีรี่ย์มหากาพย์อย่าง Game of Thrones บอกเลยว่าต้องมาโครเอเชีย เริ่มต้นกันที่เมืองนี้กับฉากสถานที่ถ่ายทำบริเวณ “St.James Cathedral” ที่เป็นหนึ่งในฉากที่อยู่ในซีซั่น 5

**********************

…หลังจากที่ออกเดินทางจากเมือง Sibenik เพื่อจะมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองเก่ามรดกโลกเมืองต่อไปที่เมือง Trogir เราก็จะตื่นตาตื่นใจไปกับวิวข้างทางเลาะเลียบชายฝั่งเอเดรียติกกันไปแบบฟิน ๆ กับความใสฟ้า ฟ้าใสของน้ำทะเลที่ใสกริ๊บตั้งแต่อยู่ในฝั่งมองออกไป…

…ขึ้นรถนั่งไปนาน ๆ ก็อาจมีเผลอหลับเผลอง่วงไปบ้าง แต่เจอวิวสวย ๆ แบบนี้เข้าไปก็ต้องยอมแหกขี้ตาตื่นกันหน่อย.. พร้อมบอกกับตัวเองว่านี่คือหนึ่งในวิวข้างทางที่สวยที่สุดอีกหนึ่งแห่งที่เคยเห็นมาจริง ๆ

…ให้ดูบรรยากาศถนนหนทางกันบ้าง.. ลืมบอกไปว่าระยะเลนส์ที่ผมใช้ถ่ายตอนอยู่บนรถผมจะใช้เลนส์ช่วงเทเล 70-200 mm ..ส่องมันเข้าไปทั้งข้างหน้าต่าง และหน้าตรง(พอดีว่านั่งด้านหลังคนขับก็เลยมีพื้นที่สะดวกหน่อย).. เวลาใครเดินทางไปไหนมาไหนลองถ่ายเล่นกันดูจากในรถผมว่าก็สนุกดีนะ…

**********************

…ผ่านล่วงเลยมาจนถึงเมือง “Trogir” อีกหนึ่งเมืองมรดกโลกเก่าแก่เมืองโบราณริมทะเลเอเดรียติก .. Trogir เป็นเกาะขนาดเล็กมีสะพานเล็ก ๆ สั้น ๆ เชื่อมอยู่ติดกับแผ่นดินใหญ่.. ส่วนที่ว่าเก่าแก่นั้นเก่าแก่ไม่เท่าไหร่แค่ประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาลแค่นั้นเอง …O_o

…บรรยากาศตัวเมืองของเมือง Trogir ก็จะยังคงคล้าย ๆ กับเมืองที่ผ่านมาด้วยหลังคาของอาคารบ้านเรือนสีส้ม ๆ และแถมยังเป็นเมืองที่มีพื้นที่ติดริมทะเลด้วยอีก ซึ่งหากไม่บอกก็อาจไม่รู้ว่านี่ย้ายมาอีกเมืองแล้ว..

…แม้ภาพโดยรวมจะค่อนข้างคล้ายคลึงกัน แต่พอเป็นบรรยากาศตัวเมืองแบบเจาะลึกก็จะแตกต่างกันไป โดยมีจุดไฮไลท์สวย ๆ รวมทั้งฟิวล์ของเมืองที่เรายังสามารถเดินเล่นหยิบกล้องมาถ่ายได้เรื่อย ๆ อีกด้วย

…บรรยากาศตัวเมืองของเมือง Trogir ก็จะยังคงคล้าย ๆ กับเมืองที่ผ่านมาด้วยหลังคาของอาคารบ้านเรือนสีส้ม ๆ และแถมยังเป็นเมืองที่มีพื้นที่ติดริมทะเลด้วยอีก ซึ่งหากไม่บอกก็อาจไม่รู้ว่านี่ย้ายมาอีกเมืองแล้ว..

…แม้ภาพโดยรวมจะค่อนข้างคล้ายคลึงกัน แต่พอเป็นบรรยากาศตัวเมืองแบบเจาะลึกก็จะแตกต่างกันไป โดยมีจุดไฮไลท์สวย ๆ รวมทั้งฟิวล์ของเมืองที่เรายังสามารถเดินเล่นหยิบกล้องมาถ่ายได้เรื่อย ๆ อีกด้วย

…บรรยากาศตัวเมืองของเมือง Trogir ก็จะยังคงคล้าย ๆ กับเมืองที่ผ่านมาด้วยหลังคาของอาคารบ้านเรือนสีส้ม ๆ และแถมยังเป็นเมืองที่มีพื้นที่ติดริมทะเลด้วยอีก ซึ่งหากไม่บอกก็อาจไม่รู้ว่านี่ย้ายมาอีกเมืองแล้ว..

…แม้ภาพโดยรวมจะค่อนข้างคล้ายคลึงกัน แต่พอเป็นบรรยากาศตัวเมืองแบบเจาะลึกก็จะแตกต่างกันไป โดยมีจุดไฮไลท์สวย ๆ รวมทั้งฟิวล์ของเมืองที่เรายังสามารถเดินเล่นหยิบกล้องมาถ่ายได้เรื่อย ๆ อีกด้วย

…ไฮไลท์จุดที่สวย ๆ ของเมือง Trogir ก็คือฝั่งริมท่าเรือเล็ก ๆ ที่มีแนวต้นไม้ปลูกเรียงไว้อย่างสวยงาม… พร้อมกับมีบริเวณให้เราได้สามารถนั่งเล่นนั่งพักผ่อนใต้เงาไม้ด้วย

…ก็ถือว่าเป็นเมืองเล็ก ๆ บนพื้นที่เกาะเล็ก ๆ ที่เราสามารถใช้เวลาไม่นานประมาณชั่วโมงสองชั่วโมงก็เดินทั่วแล้ว..

…ส่งท้ายเมืองเล็ก ๆ อย่าง Trogir ด้วยภาพบริเวณริมท่าเรือที่เป็นทั้งจุดขนส่งสินค้า และเดินเล่นของผู้คนในเมืองรวมถึงนักท่องเที่ยวที่เดินทางมา.. ซึ่งจากที่คาดคะเนแล้วตามประสบการณ์ผมว่าที่นี่ช่วงพระอาทิตย์ตกเวลาเย็น ๆ น่าจะโรแมนติกอยู่ไม่น้อย.. แต่เสียดายว่าไม่ได้อยู่นานถึงขนาดนั้นเพราะต้องเตรียมมุ่งหน้าสู่เมืองต่อไป

**********************

…เดินทางต่อชมภาพกันต่ออย่างต่อเนื่องกับเมือง “Split” เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากกรุง Zagreb …เท่านั้นยังไม่พอความเก่าแก่ต้องบอกว่ารุ่นลายครามกันเลยสำหรับเมืองนี้เพราะมีอายุเมืองกว่า 1,700 ปี (อะไรจะยาวนานขนาดนั้น)

…ที่เมืองนี้ความสำคัญก็จะอยู่ที่เป็นเมืองศูนย์กลางการพาณิชย์ด้วยนะ จากเท่าที่เดิน ๆ ก็รู้สึกและสัมผัสได้ว่าเมืองนี้เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่อยู่เหมือนกัน จนมารู้ตอนหลังว่าที่นี่ยังเป็นเมืองชายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียนที่ใหญ่ที่สุดของโครเอเชียอีกด้วย

…Diocletian’s Palace

…และแน่นอนว่านอกเหนือจากความคลาสสิคของบรรยากาศเมืองที่เราเห็น ที่นี่ก็ยังมีโลเคชั่นถ่ายทำเข้าฉากมหากาพย์ Game of Thrones (อีกแล้ว) โดยที่ถ่ายทำก็อยู่ที่ Diocletian’s Palace พระราชวังดิโอคลีเธียน ซึ่งสถาปัตยกรรมที่เราเห็นที่พระราชวังนี้ก็เป็นสไตล์โรมันโบราณที่ยังหลงเหลือให้ชมทั้งภายในและภายนอก

…Diocletian’s Palace มุมนี้ความเท่ก็คือปล่องด้านบนเมื่อแหงนหน้าขึ้นจะเห็นเป็นทรงกลม ดูเท่มาก.. แน่นอนว่าพื้นที่แคบ ๆ แบบนี้เลนส์ที่ใช้ก็ต้องมีอยู่เลนส์เดียวคือ 14-24 mm ที่จะเก็บได้ครบ ๆ ทั้งตัวแนวกำแพงด้านล่างไปจนถึงปล่องด้านบน…บวกกับแสงเงาที่ตกลงมาตอนบ่ายด้วยพอดี เลยเกิดแสงส่องลงตรงด้านข้างเป๊ะ.. ก็สร้างความเท่ความน่าสนใจให้กับภาพขึ้นมาได้อีกไม่น้อย…

…Split เป็นเมืองใหญ่ดังนั้นเรื่องของจำนวนนักท่องเที่ยวนั้นย่อมหนาตาเป็นเรื่องปกติ เดินไปเดินมาสิ่งที่เราต้องระวังที่สุดก็คือทรัพย์สินของเราที่พกติดตัว อย่างที่รู้กันว่ายุโรปนั้นส่วนใหญ่จะเป็นประเทศที่มีความล้ำสมัย แต่ในขณะเดียวกันก็แฝงด้วยความน่ากลัวของผู้คน และเหล่ามิจฉาชีพ..

…ยังไงซะก็ให้คิดไว้เสมอว่าเมื่อเราก้าวออกจากไปแล้วอุบัติเหตุ และความอันตรายก็พร้อมมาหาเราได้เสมอ.. ทางที่ดีสุดก็ต้องไม่ประมาท และช่างสังเกต และไหวตัวให้ทันอยู่ตลอด.. จะได้เที่ยวอย่างปลอดภัย

…ตัดกลับมาก่อนเดินทางออกอีกครั้งกับบริเวณริมชายทะเลที่แม้จะไม่ได้เป็นชายหาดหรือผืนทรายให้เราเห็น แต่ทางเดินคอนกรีตที่เป็นทางเท้าบวกกับบรรยากาศของสวนต้นไม้ที่ปลูกไว้นั้นก็ช่วยเสริมให้ดูสวยงาม ดูผ่อนคลายได้ไม่น้อย

…ร้อน ๆ แบบนี้เห็นชาวต่างชาติเดินไปเดินมา นั่งตากแดด แล้วเราก็งงจนไม่รู้จะงงยังไง .. ว่าทำไมถึงทนกันได้.. ก็อย่างว่าแหละนะ บ้านเค้านาน ๆ ทีจะอากาศร้อนก็ต้องเพลินกับอากาศแบบนี้เป็นธรรมดา เหมือนบ้านเราเพลินกับหน้าหนาวยังไงยังงั้น

**********************

…และแล้วก็มาถึงช่วงเวลาเดินทางสู่สถานที่อันเป็นจุดหมายปลายทางของการเดินทางครั้งนี้ “เส้นทางสู่เมืองดูบรอฟนิก”..

…เป็นเส้นทางที่มีความสวยงามมากอีกหนึ่งแห่งเท่าที่ผมเคยสัมผัสมาด้วยตาตนเอง เพราะตลอดทางด้านขวามือ “ย้ำว่าด้านขวามือ” จากเส้นทางมุ่งหน้าลงใต้สู่เมือง Dubrovnik นั้นแค่เรามองผ่านหน้าตาไปทางขวาก็จะพบกับความงามของน้ำทะเลสีฟ้าใส สลับเข้มตามความลึกของน้ำทะเลแบบฟิน ๆ ตลอดทาง

…ท้องฟ้าสีฟ้า น้ำทะเลสีฟ้าน้ำเงิน ทิวเขาต้นไม้สีเขียว หลังคาบ้านเรือนสีส้ม..

…มันเป็นการตัดกันของสีที่สวยงามลงตัวมาก..  เลนส์เทเลช่วง 70-200 mm สำหรับเก็บภาพแบบนี้เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดแล้ว..

…คือวิวมันก็จะเปลี่ยนไปเรื่อย โดยอาจจะมีรูปแบบคล้าย ๆ กันที่เห็นทะเล และหลังคาบ้านเรือน แต่ความต่อเนื่องมันก็คือเป็นแบบนี้ไปตลอดทาง…คือถ้าขับรถมาเองนะ คงได้หาที่แวะตลอดทาง.. แต่นี่นั่งอยู่บนรถบัสก็ทำได้ดีที่สุดก็คือการขวาหันมองผ่านกระจกไป

…ใสมั้ย.. สวยมั้ย..

…นี่คือความงามของ ทะเลเอเดรียติก (Adriatic Sea) ที่อยู่ขนาบเราด้านขวา เห็นน้ำใส ๆ แบบนี้แล้วมีระทวยบอกเลย ยิ่งช่วงที่มาตรงกับหน้าร้อนซัมเมอร์พอดีด้วยอีก แสงแดดส่องลงตรง ๆ เปรี้ยง ๆ น้ำยิ่งใส .. ขนาดแค่อยู่ห่างจากฝั่งยังใสขนาดนี้

…คือพอถ่ายวิวข้างทางแบบนี้ก็ไม่ต้องเปลี่ยนเลนส์มันแล้ว ใส่คาติดกล้องไว้เลย 70-200 mm ตัวเดียวอยู่.. ซูมเข้าซูมออกเลือกตำแหน่งภาพให้ทัน กดให้ไวเป็นพอ..  แดดแรงเป็นทุนเดิมทำให้ใช้สปีดเร็ว ๆ ได้สบายมาก

…มันเป็นความสุขแบบที่สุดของการเดินทางเลยก็ว่าได้สำหรับผม.. เพราะที่นี่คือประเทศในฝันที่ผมอยากมาที่สุดแล้ววันนี้ก็ได้มาจนได้.. เริ่มต้นก็จากชอบทีมฟุตบอลโครเอเชียมาตั้งแต่ปี 1994 สมัยก่อนยูโร 1996 .. แล้วก็ตามเชียร์มาตลอดพร้อมกับฝันลม ๆ แล้ง ๆ ไว้ว่าจะมีสักวันไหมที่ได้มาประเทศนี้..

…จนในวันนี้ด้วยหน้าที่การงานก็ทำให้ได้มาในที่สุด.. ก็ถือว่าโชคดีมาก.. เพราะภาพที่เคยเห็นจากในอินเตอร์เนทตอนนี้อยู่ต่อหน้าให้เห็นแบบผงะชนิดที่ว่ามันเกินบรรยายจริง ๆ

…กลับมาเข้าเรื่อง Dubrovnik กันต่อ.. สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาถึงเมืองนี้ก็สามารถนั่งรถชมเมืองได้ด้วย Sightseeing Tour ตามแบบฉบับมาตรฐานเมืองท่องเที่ยวที่ต้องมี…

…Dubrovnik.. The Pearl of The Adriatic Sea : ไข่มุกแห่งท้องทะเลเอเดรียติก

…ทันทีที่มาถึงกิจกรรมแรกที่ชาวคณะเดินทางได้สัมผัสก็คือการขึ้นกระเช้าไฟฟ้าไปยังจุดชมวิวด้านบนที่สามารถมองเห็นวิวได้ 360 องศา .. จากตรงนี้มองลงไปแล้วก็จะเห็นความยิ่งใหญ่อลังการของเมืองรวมไปถึงสีสันของหลังคาบ้านเรือนที่เป็นจุดเด่นของเมืองนี้เลยก็ว่าได้(จริง ๆ เมืองอื่นที่ผ่านมาก็หลังคาสีส้มกันเยอะนะ แต่สุด ๆ แล้วก็ต้องที่นี่แหละ) ซึ่งหลังคาสีส้มนี่ก็คือเอกลักษณ์ของเมืองนี้ รวมทั้งป้อมปราการแนวกำแพงเมืองโบราณ (City Wall) ที่สร้างท้าลมท้าฝนอยู่ริมฝั่งมาแต่ในอดีต

…การเดินชมสำรวจความยิ่งใหญ่อลังการของแนวกำแพง City Walls นั้นจะมีในส่วนของพื้นราบ กับแนวกำแพงด้านบน.. ซึ่งหากจะเดินด้านบนกำแพงก็จะต้องเสียเงินค่าเข้าชมต่างหาก แต่ส่วนด้านล่างนั้นฟรี…

…ซึ่งนอกจากจะได้ชมความยิ่งใหญ่ของแนวกำแพงแล้ว ภายในกำแพงเมืองนี้ก็จะมีทั้งร้านค้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟให้นักท่องเที่ยวได้มาใช้ชีวิตมาพักผ่อนกันได้อย่างเต็มที่ก็เลือกกันไปใครจะอะไร

…ตัวกำแพงโบราณนี้มีความยาวถึง 1,940 เมตร  สูง 25 เมตร .. พื้นที่บริเวณแนวกำแพงก็จะสลับด้วยหอคอยต่าง ๆ ทั้งแบบสี่เหลี่ยมจตุรัส หรือทรงกลม ตามแต่ที่ได้ออกแบบไว้ตามหลักยุทธศาสตร์ตั้งแต่ครั้งในอดีต

…และแน่นอนว่ามีความเป็นเอกลักษณ์ และการดูแลรักษาไว้ตั้งแต่กาลนานจนมาถึงปัจจุบันนี้ นี่ก็คืออีกหนึ่งมรดกโลก และความภาคภูมิใจของชาวโครเอเชียทุกคน

…ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกก็มีอยู่เพียบ.. คือสำหรับผมผมว่าแต่ละประเทศที่เราไปเราก็จะเห็นสัญลักษณ์ของแต่ละประเทศได้ง่าย ๆ ตามของที่วางขายกันนี่แหละไม่ว่าจะเป็นลายเสื้อผ้า ตัวอักษรบอกชื่อประเทศ หรือภาพของสถานที่สำคัญ ๆ ต่าง ๆ .. แต่สำหรับที่นี่ผมว่าไม่ต้องอะไรมากแค่เห็นลายตาหมากรุกสีแดงขาวก็รู้แล้วว่านี่คือประเทศอะไร

…ว่าแล้วก็จัดเสื้อเจ้าของรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเม้นท์ฟุตบอลโลกรัสเซีย 2018 สักหน่อย.. ลูก้า โมดริช

…ภาพนี้ส่องไกลด้วยเลนส์ 70-200 mm ให้เห็นถึงพลัง และความยิ่งใหญ่แข็งแกร่งของป้อมกำแพง.. คิดดูแล้วก็ต้องทึ่งกับความสามารถของคนในอดีตที่สร้างสิ่งก่อสร้างได้แข็งแรงมั่นคงมาให้เราเห็นจนถึงทุกวันนี้

…ภาพนี้ผมก็รอจังหวะให้คนพายเรือผ่านเข้ามาในเฟรมเพื่อให้เห็นถึงขนาดเปรียบเทียบให้เห็นชัด ๆ ว่ามีความสูงใหญ่แค่ไหน

…มุมนี้คือมุมสูงที่เลยพ้นแนวกำแพงโบราณซิตี้วอลล์ออกมายังอ่าวเล็ก ๆ แล้วเดินขึ้นมาเรื่อย ๆ เราก็จะได้เห็นมุมสูงย้อนกลับไปก็เป็นอีกมุมที่สวยงามไม่น้อย..

…ภาพนี้ส่องไกลด้วยเลนส์ 70-200 mm ให้เห็นถึงพลัง และความยิ่งใหญ่แข็งแกร่งของป้อมกำแพง.. คิดดูแล้วก็ต้องทึ่งกับความสามารถของคนในอดีตที่สร้างสิ่งก่อสร้างได้แข็งแรงมั่นคงมาให้เราเห็นจนถึงทุกวันนี้

…เดินเล่นไปเรื่อย ๆ หามุมถ่ายภาพไปเรื่อย ๆ

…ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะมาเดินตรง City Walls ผมว่าเราสามารถมาเดินช่วงไหนก็ได้ครับ.. แต่อาจจะเลี่ยงช่วงเที่ยง ๆ กลางวัน ๆ หน่อยก็ดีครับ(ถ้าเลี่ยงได้นะ) โดยอาจเลือกช่วงเช้าที่แดดยังไม่แรงมาก หรือช่วงเย็นก็น่าจะได้อีกบรรยากาศ.. ก็ขึ้นอยู่กับแสงด้วย หากใครมีเวลามากพอด้วยแล้วผมว่ามาแต่ละช่วงเราก็จะได้แสงที่แตกต่างกันไป ก็ลองเลือกดูครับ

…อย่างช่วงที่ผมมาตรงกับช่วงฤดูร้อนเดือนมิถุนายน แดดก็ต้องบอกเลยว่าร้อนแรงแรงร้อนมาก ..ทาครีมกันแดดมาก็ยังเผลอ ๆ มีดำกลับไปได้ง่าย ๆ

…ส่วนช่วงที่ผมเดินตรง City Walls บริเวณกำแพงโบราณด้านล่างก็เป็นช่วงบ่าย ๆ …แต่ในภาพจากนี้ไปจะเป็นช่วงเช้านะที่เปลี่ยนมาเดินด้านบนแนวกำแพงกันบ้างเพื่อให้เห็นถึงความแตกต่าง และอีกบรรยากาศของ Dubrovnik Walls

…อ้ออ !!! ลืมบอกไปว่าที่ Dubrovnik นี่ก็มีฉากถ่ายทำซีรี่ย์ Game of Thrones อยู่มากมายทั้งหมดเกือบ 20 ฉาก ซึ่งหากจะตามรอยกันจริง ๆ จัง ๆ แนะนำว่าให้หาทัวร์ได้เลย เพราะจะพาเราไปยืนพร้อมทั้งเอาภาพมาเปรียบเทียบให้เห็นกันเลยว่าเป็นฉากไหน ซีซั่นไหนในหนังกันบ้าง..

…เรียกได้ว่ามาเมืองนี้เมืองได้ก็จัดกันไปเกือบ 20 ฉากถ่ายทำแล้ว..

…เมื่อเรามาเดินอยู่ด้านบนแนวกำแพงก็จะเปลี่ยนบรรยากาศไปอีกแบบหนึ่งเลยก็ว่าได้ เพราะเราจะเห็นวิวทิวทัศน์ที่อยู่ข้างล่างแล้วไม่สามารถเห็นได้ ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องหาเวลามาเดินเล่นด้านบนกำแพงด้วย ขอย้ำว่าต้องมาเดินจริง ๆ เพราะมันจะทำให้เราเห็นอะไร ๆ อีกเยอะแยะมากมาย

…แนวกำแพงที่เราเห็นนี้เราสามารถเดินวนไปตามเส้นทางได้เรื่อย ๆ นะครับ ก็คือไม่ต้องกลัวหลงเพราะมันไม่มีอะไรจะให้หลง.. จะหลงได้อย่างเดียวคือวิวที่เรามองแล้วก็จะเพลินตามากกับสีส้ม ๆ ของหลังคา และสีของน้ำทะเลยิ่งถ้าวันไหนท้องฟ้าแจ่มใสเหมือนอย่างวันที่ผมมานี่แล้วล่ะก็ .. ได้ภาพงาม ๆ กลับไปแน่นอน

…ที่ด้านบนแนวกำแพงนั้นเมื่อเรามาเดินก็ควรติดขวดน้ำพกน้ำใส่กระเป๋ามาด้วยก็จะดีมาก ๆ เพราะด้านบนเท่าที่ผมเดิน ๆ แทบจะไม่มีร้านค้าเลย โดยจะมีอยู่แค่โซนเดียวคือร้านกาแฟ(ถ้าจำไม่ผิด) แล้วก็จะเป็นที่ขายน้ำ เครื่องดื่ม ไอติม ร้านเล็ก ๆ ดังนั้นด้วยสภาพอากาศและระยะทางเดินที่อาจกินเวลาเพราะเราต้องเพลินไปกับวิวก็อาจทำให้กระหายน้ำไปบ้าง ทางที่ดีก็ติดขวดน้ำมาด้วยก็ดี

…มุมเล็กมุมน้อย มุมต่าง ๆ ด้านบนมองลงไปเมื่อเดินไปสักพักก็อาจจะตัน ๆ ไปบ้าง.. แต่ก็ยังมีอะไรให้เราถ่ายภาพได้เรื่อย ๆ หากเราเลือกหาอะไรถ่ายให้น่าสนใจ…

…เป็นยังไงกันบ้างครับสำหรับอัลบั้มภาพ “Dream Destinations Croatia” ถึงแม้ทีนี่หลายคนอาจจะยังไม่รู้จัก หรือหลายคนอาจรู้จักอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอได้เห็นอัลบั้มเซ็ทนี้ก็อาจจะทำให้รู้จัก และเห็นถึงอะไรต่าง ๆ เยอะขึ้นมาไม่มากก็น้อย ซึ่งผมก็หวังว่าคงจะถูกใจกันบ้างเนาะ..

…ใครที่คิดอยากเดินทางไปที่นี่ผมก็ขอเชียร์สุดตัวจริง ๆ ว่าขอให้สมดังหวังนะ แต่ถ้าใครคิดว่ามีที่อื่นที่อยากไปมากกว่านี้ก็ขอให้ได้เดินทางไปในจุดหมายความฝันที่ตั้งใจไว้ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นที่โครเอเชียนี่หรอก.. จริง ๆ แล้วมันจะที่ไหนก็ได้นะ ขอแค่ให้เราได้คว้ามันมาให้ได้ก็มีความสุขมากพอแล้ว…

…ขอบคุณ We Are Wanderlust Travel สำหรับการเดินทางครั้งนี้ที่จัดโปรแกรมเดินทางท่องเที่ยวเจ๋ง ๆ หลายต่อหลายเมืองให้ลูกค้าได้เดินทางมาเที่ยวกัน..

…และอัลบั้มนี้ก็หมดลงจบลงแต่เพียงเท่านี้.. ไว้ว่าง ๆ มีเดินทางไปไหนแล้วมีเวลาจะเอาภาพมาอัพให้เป็นข้อมูลประโยชน์ไว้เผื่อใครสนใจ ..ส่วนอัลบั้มนี้ขอตัวอำลาไปก่อนนะครับ สวัสดี และขอบคุณทุกคนที่เข้ามาชมกันนะครับ ^^

www.facebook.com/forzanufoto

 

 

Facebook Comments
Please follow and like us:
20