🇭🇷 Dubrovnik : Pearl of the Adriatic 🇭🇷

…นี่คือหนึ่งเมืองที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่แพ้ที่ไหนในภาคพื้นยุโรปกับความงดงามของเส้นทางถนนที่ลัดเลาะไปตามริมหน้าผา ซึ่งเราจะได้พบเห็นความสวยงามของท้องทะเลเอเดรียติกสีฟ้าสวยงามกับภาพของอาคารบ้านเรือนที่มีหลังคาสีส้มตัดกันทำให้ภาพที่เห็นนั้นสวยงามยิ่งขึ้นหลายเท่า.. ความลงตัวของสถาปัตยกรรม และธรรมชาติ รวมไปการออกแบบผังเมืองที่ถูกวางไว้อย่างเป็นระเบียบตั้งแต่ในอดีต ทำให้ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ดูบรอฟนิก” คืออีกหนึ่งจุดหมายปลายทางฝันของใครต่อใครหลายคน ซึ่งผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ฝันว่าอยากได้มาเมืองนี้สักครั้งในชีวิต

…ซึ่งรีวิวนี้ “เที่ยวผ่านเลนส์ / Forzanu Foto” จะพาไปสัมผัสความงดงามแห่งเมืองที่ได้รับสมญานามว่า “ไข่มุกแห่งท้องทะเลเอเดรียติก” ว่ามีอะไรที่น่าสนใจ และมีอะไรที่ควรค่าแก่การมาเยือนบ้าง

• Time to Go •

…ฝากข้อมูลเดินทางไว้สักนิดให้นึกภาพกันออกกับสภาพอากาศที่โครเอเชีย (ก็จะปรวนแปรกันไปตามกาลเวลา นี่แค่คร่าว ๆ )

• ฤดูใบไม้ผลิ / มี.ค. – มิ.ย. / อุณหภูมิประมาณ 10 – 20 องศาเซลเซียส (แต่ช่วงที่มามิถุนานี่ก็ร้อนสุดปาไป 30 กว่าได้แล้วนะ)
• ฤดูร้อน / ก.ค. – ส.ค. / อุณหภูมิประมาณ 20 – 30 องศาเซลเซียส
• ฤดูใบไม้ร่วง / ส.ค. – ต.ค. / อุณหภูมิประมาณ 12 – 17 องศาเซลเซียส
• ฤดูหนาว / ต.ค. – ก.พ. / อุณหภูมิประมาณ -5 – -10 องศาเซลเซียส

• The Way to Dubrovnik •

…เป็นเส้นทางที่มีความสวยงามมากอีกหนึ่งแห่งเท่าที่ผมเคยสัมผัสมาด้วยตาตนเอง สำหรับใครที่เดินทางมาด้วยรถบัส หรือจะอะไรก็ตามแนะนำว่าตำแหน่งที่นั่งควรนั่งฝั่งขวาของรถ เพราะฝั่งนี้เราจะได้เห็นวิวทิวทัศน์ทางหน้าผามองออกไปไกลเห็นน้ำทะเลได้ชัดเจน และถ่ายรูปได้ง่ายกว่านั่งฝั่งซ้าย

…เส้นทางช่วงแรก ๆ หลังคากที่ออกจากเมือง Split ยังไม่มีอะไรมากนัก .. แต่ถ้าถามว่าสวยไหมก็ถือว่าสวยเรื่อย ๆ คือมีทั้งวิวภูเขา วิวท้องทุ่ง สลับด้วยบรรยากาศบ้านเรือนหมู่บ้านต่าง ๆ ที่ให้เราได้เห็นตลอดทาง …ดูบรอฟนิกเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศโครเอเชียซึ่งเส้นทางที่เริ่มปรากฏความงดงามของท้องทะเล บ้านเรือน อาคาร และความสวยงามของหน้าผาก็เริ่มหลังจากที่เราออกจากเมือง Split มาได้สักระยะ กับเส้นทางมุ่งหน้าลงใต้สู่เมือง Dubrovnik นั้นแค่เรามองผ่านหน้าตาไปทางขวาก็จะพบกับความงามของน้ำทะเลสีฟ้าใส สลับเข้มตามความลึกของน้ำทะเลแบบฟิน ๆ ตลอดทาง  …ช่วงเวลาที่ผมเดินทางมานี้อยู่ในช่วงเดือนมิถุนายน 2020 อากาศดีครับ ท้องฟ้าสดใส แดดแรง .. อยู่ที่ดูบรอฟนิกสองวัน เจอแดดเปรี้ยง ๆ เต็ม ๆ ไป 2 วัน ตัวดำกลับเมืองไทยเลยทีเดียว… …ยิ่งเราเข้าใกล้ตัวเมืองดูบรอฟนิกเท่าไหร่ก็ยิ่งเห็นชัดถึงภาพของอาคารบ้านเรือนสีส้มได้มากขึ้นไล่เรียงตามพื้นที่ไปตั้งแต่บ้านริมชายฝั่งจนถึงที่อยู่บนแนวเขา.. น่าอิจฉาคนที่อยู่บ้านติดริมทะเลที่นี่จริง ๆ .. แม้ว่าจะไม่ได้เป็นชายฝั่งชายหาดทรายกว้าง ๆ แต่การที่ได้อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติแบบนี้ไม่ว่าจะที่ไหนก็น่าอิจฉาคนพื้นที่จริง ๆ 

• Welcome to Dubrovnik •

… Dubrovnik เป็นอีกหนึ่งเมืองของประเทศโครเอเชียที่มีชื่อเสียง และยังได้มีชื่อให้เป็น “เมืองมรดกโลก” อีกด้วย.. ด้วยความที่มีประวัติศาสตร์เป็นเมืองเก่าเมืองโบราณจากยุคกลาง จนผ่านพ้นมาถึงปัจจุบันสภาพของเมืองก็ยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ หรืออาจจะมีผุกร่อนไปบ้างก็ตามกาลเวลา รวมทั้งยังเป็นที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวนักเดินทางทั่วโลก จึงไม่ต้องมีอะไรกังขาหากที่นี่จะเป็นอีกหนึ่งมรดกของโลกอย่างไม่ต้องสงสัย

• Dubrovnik High from Above 

..เมื่อมาถึงที่นี่แล้วกิจกรรมที่ “ห้ามพลาด” ไม่ว่าจะด้วยประการใดก็ตามก็คือการขึ้นกระเช้าไปชมวิวเมืองด้านบน บอกได้คำเดียวว่าสวยคุ้มค่าแน่นอน.. (แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศด้วยนะครับ ถ้าหากลมด้านบนแรงทางสถานที่ก็จะหยุดให้บริการ)

…ราคา Dubrovnik Cable Car โดยประมาณก็จะราว ๆ นี้ (เรทคร่าว ๆ 1 คูน่า เท่ากับ 5 บาทไทย)

• ผู้ใหญ่ round-trip ticket / 160 kn(คูน่า) (ประมาณ 770 บาทไทย) 
• ผู้ใหญ่ one-way ticket / 90 kn (ประมาณ 430 บาทไทย)
• เด็ก round-trip ticket (4 – 12 ปี) 60 kn (ประมาณ 290 บาทไทย)
• เด็ก one-way ticket (4 – 12 ปี) 40 kn (ประมาณ 190 บาทไทย)
• เด็กเล็กจนถึง 4 ขวบ ไม่เสียค่าบริการ

…หรือตามราคาแบบอัพเดทได้ที่เวป Official ของ Dubrovnik Cable Car ได้ที่นี่เลย https://www.dubrovnikcablecar.com/timetable-and-prices/ …เชื่อว่าหลายคนต้องมีจุดชมวิวในดวงใจอยู่มากมายหลายที่ และที่แน่ ๆ คือที่นี่จะต้องเป็นอีกที่หากได้มาสัมผัสมายลด้วยตาของตัวเอง.. ภาพที่เห็นตรงหน้าอาจจะดูไม่ได้มีอะไรมากนอกเหนือไปจากแนวกำแพงหิน และท้องฟ้าท้องทะเล แต่เชื่อเถอะว่าแค่นี้ก็สามารถสะกดสายตาของเรา ๆ ให้หยุดมองได้นาน ๆ เลยทีเดียวกับวิวด้านบนที่สามารถมองเห็นวิวได้ 360 องศา .. ซึ่งจากตรงนี้มองลงไปแล้วก็จะเห็นความยิ่งใหญ่อลังการของเมืองรวมไปถึงสีสันของหลังคาบ้านเรือนที่เป็นจุดเด่นของเมืองนี้เลยก็ว่าได้ (จริง ๆ เมืองอื่นที่ผ่านมาก็หลังคาสีส้มกันเยอะนะ แต่สุด ๆ แล้วก็ต้องที่นี่แหละ) ซึ่งหลังคาสีส้มนี่ก็คือเอกลักษณ์ของเมืองนี้ รวมทั้งป้อมปราการแนวกำแพงเมืองโบราณ (City Wall) ที่สร้างท้าลมท้าฝนอยู่ริมฝั่งมาแต่ในอดีต

• Lower Walk in City Walls 

…การเดินชมสำรวจความยิ่งใหญ่อลังการของแนวกำแพง (City Walls) นั้นจะมีทั้งในส่วนของพื้นราบ กับแนวกำแพงด้านบน.. ซึ่งหากจะเดินด้านบนกำแพงก็จะต้องเสียเงินค่าเข้าชมต่างหาก แต่ส่วนด้านล่างนั้นฟรี… ลำดับแรกที่จะพาให้เพื่อน ๆ ได้เห็นก็คือเล็ก ๆ น้อย ๆ จากบริเวณภายในแนวกำแพงด้านในที่เราสามารถเดินเล่นได้เรื่อย ๆ ไปตามจุดต่าง ๆ 

…ภายในกำแพงเมืองที่เราเดินเล่นกันอยู่นี้ก็จะมีทั้งในส่วนที่เป็นร้านค้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟที่คอยต้อนรับ และให้บริการนักท่องเที่ยวกันอย่างครบวงจร เรียกได้ว่านอกจากจะได้เดินสัมผัสประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรมด้วยแล้ว ก็ยังหามุมนั่งพักนั่งเล่นได้ด้วยเช่นกัน…  …ความยิ่งใหญ่แข็งแกร่งของป้อมกำแพง.. คิดดูแล้วก็ต้องทึ่งกับความสามารถของคนในอดีตที่สร้างสิ่งก่อสร้างได้แข็งแรงมั่นคงมาให้เราเห็นจนถึงทุกวันนี้

• Walking in City Walls 

…ทางเดินภายในตัวกำแพงที่เป็นทั้งร้านค้า ร้านอาหาร ร้านต่าง ๆ เมื่อเราใช้เวลาเดินไปเรื่อย ๆ เข้ามุมนั้นออกมุมนี้ เราก็จะได้เห็นมุมต่าง ๆ มากมายทั้งบริเวณภายในโซนกำแพงด้านใน และด้านนอก.. อย่างด้านนอกกำแพงตรงนี้ก็เป็นเหมือนจุดพักผ่อนอีกจุดที่นักท่องเที่ยวมาว่ายน้ำเล่นกัน แม้จะไม่มีหาดแต่ความสุขนั้นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันแน่นอน …ตัวกำแพงโบราณที่เราเห็นอยู่รอบ ๆ ตัวนี้หาอ่านจากข้อมูลแล้วมีความยาวถึง 1,940 เมตร  สูง 25 เมตร .. พื้นที่บริเวณแนวกำแพงก็จะสลับด้วยหอคอยต่าง ๆ ทั้งแบบสี่เหลี่ยมจตุรัส หรือทรงกลม ตามแต่ที่ได้ออกแบบไว้ตามหลักยุทธศาสตร์ตั้งแต่ครั้งในอดีต…และแน่นอนว่ามีความเป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการดูแลรักษาที่ยังคงสภาพได้อย่างดีตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้ 

• Sunset at Valamar Argosy Hotel 

…ตัดมาที่หลับที่นอนกันบ้างโดยผมได้มานอนที่โรงแรม Valamar Argosy Hotel เป็นโรงแรมใหญ่ที่มีทำเลดีมาก อยู่ห่างจากบริเวณกำแพงเมืองดูบรอฟนิกประมาณ 5 กม. ก็ถือว่าไม่ใกล้ไม่ไกลกันมากนัก.. ส่วนไฮไลท์เจ๋ง ๆ ของที่โรงแรมนี้ก็คือจุดชมวิวบริเวณสระน้ำของโรงแรมที่ให้เรามองชมพระอาทิตย์ตกได้แบบฟิน ๆ ท่ามกลางอากาศบริสุทธิ์

• Good Morning Dubrovnik • 

…ตื่นเช้ามาอีกวันก็ยังไม่ไปไหนเพราะเรายังคงเดินสำรวจบริเวณกำแพงเมืองไม่ทั่วเลย ดังนั้นเนื่องจากที่เมื่อวานเดินเล่นด้านล่างกำแพงกันไปแล้ววันนี้เช้าก็เลยมาต่อกันที่ด้านบนกำแพงกันบ้าง ส่วนสภาพอากาศตอนเช้า ๆ สาย ๆ ในเดือนมิถุนายนที่มานี้บอกได้คำเดียวว่าแดดแรงมาก แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะความตื่นตาตื่นใจในการสัมผัสความสวยงามนั้นมีมากกว่าเพราะนอกจากเราจะได้เห็นอะไรแปลก ๆ ใหม่ ๆ แล้วก็ยังเหมือนได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของเมืองพร้อมกับเพลิดเพลินสายตาด้วยการได้เห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองเก่า และทะเลเอเดรียติกอันงดงามอีกด้วย

…เมืองเก่าจะเปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่ 08.00 น. ถึง 19.30 น.ในฤดูร้อนและ 10.00 น. ถึง 15.00 น.ในฤดูหนาว ส่วนค่าเข้าชมจะอยู่ที่ 70 คูนาโครเอเชียสำหรับบุคลทั่วไปและ 20 คูนาโครเอเชียสำหรับเด็กและนักเรียน ยังไงค่าตั๋วก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างตามวันเวลา อันนี้ก็คือเวลา และราคาช่วงที่ผมเดินทางมานะ

• Upper City Walls • 

……อ้ออ !!! ลืมบอกไปว่าที่ Dubrovnik นี่ก็มีฉากถ่ายทำซีรี่ย์ Game of Thrones อยู่มากมายทั้งหมดเกือบ 20 ฉาก ซึ่งหากจะตามรอยกันจริง ๆ จัง ๆ แนะนำว่าให้หาทัวร์ได้เลย เพราะจะพาเราไปยืนพร้อมทั้งเอาภาพมาเปรียบเทียบให้เห็นกันเลยว่าเป็นฉากไหน ซีซั่นไหนในหนังกันบ้าง..เรียกได้ว่ามาเมืองนี้เมืองได้ก็จัดกันไปเกือบ 20 ฉากถ่ายทำแล้ว..

…ตัดกลับมาที่การเดินในช่วงเช้าของเราต่อเมื่อเรามาเดินอยู่ด้านบนแนวกำแพงก็จะเปลี่ยนบรรยากาศไปจากด้านล่างกันคนละฟิวล์เลยก็ว่าได้ เพราะจากด้านบนนี้เราจะได้เห็นภาพของวิวทิวทัศน์ต่าง ๆ ในมุมที่สูงจากระดับปกติ และยังให้เราได้เห็นถึงความงามโดยรอบได้แบบชัดเจน ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องหาเวลามาเดินเล่นด้านบนกำแพงด้วย ขอย้ำว่าต้องมาเดินจริง ๆ เพราะมันจะทำให้เราได้เห็นอะไร ๆ ขึ้นอีกเยอะแยะมากมาย …แนวกำแพงที่เราเห็นนี้เราสามารถเดินวนไปตามเส้นทางได้เรื่อย ๆ นะครับ ก็คือไม่ต้องกลัวหลงเพราะมันไม่มีอะไรจะให้หลง.. จะหลงได้อย่างเดียวคือวิวที่เรามองแล้วก็จะเพลินตามากกับสีส้ม ๆ ของหลังคา และสีของน้ำทะเลยิ่งถ้าวันไหนท้องฟ้าแจ่มใสเหมือนอย่างวันที่ผมมานี่แล้วล่ะก็ .. ได้ภาพงาม ๆ กลับไปแน่นอน …ที่ด้านบนแนวกำแพงนั้นเมื่อเรามาเดินก็ควรติดขวดน้ำพกน้ำใส่กระเป๋ามาด้วยก็จะดีมาก ๆ เพราะด้านบนเท่าที่ผมเดิน ๆ แทบจะไม่มีร้านค้าเลย โดยจะมีอยู่แค่โซนเดียวคือร้านกาแฟ(ถ้าจำไม่ผิด) แล้วก็จะเป็นที่ขายน้ำ เครื่องดื่ม ไอติม ร้านเล็ก ๆ ดังนั้นด้วยสภาพอากาศและระยะทางเดินที่อาจกินเวลาเพราะเราต้องเพลินไปกับวิวก็อาจทำให้กระหายน้ำไปบ้าง ทางที่ดีก็ติดขวดน้ำมาด้วยก็ดี
…เดินไปเรื่อย ๆ ก็ใช้เวลาไปมากพอสมควรอยู่เรียกได้ว่าทั้งร้อนทั้งเพลินในเวลาเดียวกัน.. แต่สิ่งหนึ่งที่รู้สึกอยู่ในใจตลอดก็คือความอินกับสถานที่เพราะว่านี่คืออีกหนึ่งเมืองในฝันที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้มา จนวันนี้ด้วยโชคชะตา หรือความสามารถหรืออะไรก็แล้วแต่ก็ทำให้ผมได้เดินทางถึงที่นี่จนได้ เรียกว่าด้วยสายงานอาชีพช่างภาพที่ทำงานมาก็ค่อย ๆ ส่งผลให้การเดินทางต่าง ๆ มีมากมายมากขึ้น และนี่คืออีกหนึ่งเมืองแห่งยุโรปที่เปี่ยมไปด้วยความงดงามของสถาปัตยกรรม สิ่งก่อสร้าง รวมไปถึงบ้านเมืองและผู้คนที่ช่วยเติมเต็มมนต์เสน่ห์แห่งดูบรอฟนิกให้มีความเป็นเอกลักษณ์ จนได้รับสมญานามว่าเป็น “ไข่มุกแห่งท้องทะเลเอเดรียติก”, ดูบรอฟนิก, ประเทศโครเอเชีย

❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤

Facebook Comments
Please follow and like us:
20