…สีสันวันเดินทางของฝากจากสิงคโปร์…
…เมื่อเอ่ยถึงประเทศสิงคโปร์มุมมองของแต่ละคนที่มีต่อประเทศที่มีพื้นที่เล็ก ๆ แห่งนี้ก็อาจแตกต่างกันไปตามความชอบ หรือตามประสบการณ์ของแต่ละคนที่ได้เจอะได้เจอ หรือแม้แต่เคยได้ยินมา.. สำหรับผมแล้วครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่ได้เดินทางมายังประเทศนี้อีกครั้ง ซึ่งจากประสบการณ์การเดินทางครั้งแรกที่ได้ผ่านมาทำให้ผมหวังลึก ๆ อยู่เสมอว่าหากได้กลับมาที่นี่อีกสักครั้งก็คงดีไม่น้อย ทั้งที่รู้ว่าข้าวปลาอาหารรวมไปถึงที่พักนั้นออกจะแพงกว่าบ้านเราอยู่พอสมควร แต่เมื่อมีโอกาสจะได้กลับไปอีกก็อดที่จะปฏิเสธไม่ได้ … โดยการเดินทางครั้งนี้ผมได้รับเกียรติจากสายการบิน Nokscoot ที่มีเส้นทางการบินระหว่างท่าอากาศยานดอนเมือง ถึงท่าอากาศยานชางกี ประเทศสิงคโปร์ โดยเริ่มเปิดบริการตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม ไปสิ้นสุดจนถึง 16 สิงหาคม 2558 … เป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้ของผมก็คือการเดินทางให้ประหยัดที่สุดโดยไปยังจุดไฮไลท์สถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ที่สำคัญ ๆ ซึ่งเป็นจุดที่ผู้รักการถ่ายภาพจำนวนไม่น้อยนิยมเดินทางไป โดยเมื่อเทียบกับระยะเวลาเพียงแค่ 2 วัน 2 คืน ได้ภาพกลับมาตามในอัลบั้มนี้สำหรับผมเองก็ถือว่าพอใจ…เริ่มต้นการเดินทางที่ท่าอากาศยานดอนเมืองนกเหล็กกางปีกที่ตอนเวลา 8.25 น. เพื่อถึงสิงคโปร์ที่ท่าอากาศยานชางกีเวลา 11.55 น. เมื่อเดินทางถึงสนามบินที่สิงคโปร์ก็ผ่านด่านตรวจเข้ามาจนรับสัมภาระเสร็จเป็นที่เรียบร้อย โดยจุดแรกที่เราจะไปขึ้นรถไฟฟ้าที่อยู่ภายในสนามบินก็อยู่ที่อาคาร 2 Terminal 2 จากนั้นก็ซื้อตั๋วรถ MRT เพื่อเดินทางสู่ที่พัก
…ในด้านของที่พักผมได้ทำการจองไว้ผ่านทาง “Airbnb” ซึ่งเราเลือกที่พักแถว Geylang ที่พักก็เป็นเหมือนอพาร์ทเม้นท์ทั่วไปนี่แหละครับชื่อ Palm Lodge โดยเป็นห้องพักของชาวสิงคโปร์ที่แบ่งห้องพักในห้องตัวเองไว้ต้อนรับแขกที่มาพัก ภายในห้องที่เลือกไว้ก็เล็ก ๆ เตียง 2 ชั้น ไม่มีทีวี แต่มีห้องน้ำส่วนตัว … เพิ่มเติมถึงเรื่องที่พักสักหน่อยว่าจุดเด่นของ Airbnb สำหรับผมคือเราสามารถเลือกที่พักในรูปแบบที่เราต้องการได้โดยเราสามารถเลือกว่าจะพักเป็นบ้านหลังหรือจะเป็นห้องพักส่วนตัว ห้องพักรวม ต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรบ้าง ในระบบการเลือกที่พักก็จะมีให้เราติ๊กข้อมูลเลือกได้ และอีกเรื่องที่เป็นเสน่ห์ของการเลือกพักกับ Airbnb ก็คือเรื่องของบรรยากาศ และฟิวล์ในการเข้าพักที่ทำให้เรารู้สึกแตกต่างไปจากการเข้าพักที่โรงแรมหรือรีสอร์ทที่เราเคยพักมา อย่างที่พักผมเลือกนี่เป็นอพาร์ทเม้นท์เจ้าของห้องก็ให้กุญแจคีย์การ์ดไว้ เราจะเข้าจะออกตอนไหนก็แล้วแต่เรา เหมือนเรามาบ้านเพื่อนอย่างไรอย่างนั้น.. ในส่วนของ Airbnb นั้นมีที่พักอยู่มากมายทั่วโลกส่วนเรื่องราคาก็มีตั้งแต่ถูก ๆ หลักร้อยก็มี หรือจะอลังการนอนแบบปราสาทคืนละเป็นหมื่นก็มี .. ใครที่สนใจสามารถคลิ๊กลิ๊งค์ตามนี้ได้เลยครับ http://airbnb.com/forzanu ซึ่งหากเป็นคนที่ยังไม่เคยสมัครมาก่อนแล้วทำการจองครั้งแรกก็จะได้ส่วนลดไปอีก 800 กว่าบาท สำหรับการจองครั้งแรก .. ลองดูกันได้เลยครับ
…จากที่พักเรามาว่ากันถึงสถานที่ที่แรกที่จะขอกล่าวถึงเป็นอันดับแรกก็คือบริเวณย่าน Haji Lane และ Little India ซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกัน.. ในส่วนของ Haji Lane นั้นก็เป็นลักษณะย่านที่มีของใช้ เสื้อผ้า ออกแนว ๆ แฟชั่นขายอยู่ ซึ่งเอกลักษณ์ของบริเวณ Haji Lane ตรงนี้ก็คงหนีไม่พ้นจิตรกรรมฝาผนังที่มีการวาดลวดลาย และระบายสีสันไว้อย่างฉูดฉาดเป็นที่ถูกอกถูกใจบรรดานักท่องเที่ยวทั้งเอเชียด้วยกัน หรือจากบรรดาชาวตะวันตกที่เดินทางมา พูดโดยรวม ๆ ให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือที่ Haji Lane เปรียบเสมือน Street Art Fashion ถนนที่มีทั้งศิลปะ และแฟชั่นมาผสมผสานกัน … แม้พื้นที่บริเวณนี้จะไม่ใช่พื้นที่กว้างใหญ่โตแต่ก็ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวที่เดินทางกันมาตลอดวัน รวมถึงในตอนกลางคืนที่จะมีร้านอาหาร นั่งจิบเครื่องดื่ม เคล้าคลอเสียงเพลงก็เป็นอีกหนึ่งแห่งที่น่าจะถูกใจคนชอบบรรยากาศครึกครื้นอยู่ไม่น้อย ..
…จากฮาจิ เลน เราก็เดินมาต่อกันอีกนิดก็จะถึงบริเวณของ Little India ฟังจากชื่อคงไม่ต้องบรรยายอะไรกันมากมายก็คงพอนึกภาพกันออกกับภาพของสีสันบรรยากาศสไตล์อินเดีย ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แหล่งเสื้อผ้าซื้อขายข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ เอกลักษณ์ของย่านนี้สำหรับผมมองไปที่บรรยากาศของผู้คน ความวุ่นวาย แผงขายดอกไม้ ร้านขายหนังสือ ร้านขายของชำ ขายมือถืออุปกรณ์ต่าง ๆ เสียงจากรถที่แล่นผ่านไปผ่านมา สารพัดสิ่งที่ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ที่อินเดียอย่างไรอย่างนั้น บวกด้วยกับสีสันการตกแต่งอาคารร้านรวงต่าง ๆ ให้มีสีฉูดฉาด ดูแล้วโดดเด่น ยิ่งวันที่ท้องฟ้าสดใสด้วยแล้วก็ช่วยทำให้ได้ภาพที่มีสีสันแจ่ม ๆ ติดไม้ติดมือกลับไปไม่น้อย…
* การเดินทางมายัง Haji Lane มาได้โดยการนั่งรถไฟฟ้า MRT มาลงที่สถานี Bugis แล้วเดินออกที่ทางออก B จากนั้นเดินต่อมาจนถึงสี่แยกที่ Ophir Rd. ซึ่งจะตัดกับถนน North Bridge .. ฝั่งตรงข้ามจะเป็น Bali Lane และถัดไปอีกซอยคือ Haji Lane..
* การเดินทางมายัง Little India มาได้โดยการนั่ง MRT ลงที่สถานี Little India เลือกทางออกที่ไปยังถนน Buffalo Rd. เพื่อเข้าสู่บริเวณย่านนี้ได้เลย
…ผ่านพ้นไปกับสองสถานที่แรกสู่สถานที่ไฮไลท์ต่อไปนั่นคือ Chinatown แหล่งที่เต็มไปด้วยทั้งของซื้อของขาย รวมไปถึงของกิน ที่พัก เรียกว่ารวมแทบทุกอย่างไว้อยู่ในบริเวณแห่งนี้ โดยโซนที่เป็นเหมือนฟู้ดคอร์ทก็จะมีอาหารต่าง ๆ มากมายให้เราได้เลือกลิ้มชิมรสกัน แม้ราคาอาจจะสูงไปสักหน่อยแต่นักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยก็ยังนิยมมาอิ่มอร่อยที่นี่กัน .. ส่วนทางด้านของโซนช๊อปปิ้งผมว่ามีลักษณะคล้าย ๆ กับซอยละลายทรัพย์ที่ ถ.สีลม บ้านเราแต่ว่าซอยจะใหญ่กว่า .. และนอกเหนือไปจากบริเวณไชน่าทาวน์แล้วใกล้ ๆ กันก็จะมีวัดพระเขี้ยวแก้ว (Buddha Tooth Relic Temple) ที่ตั้งเด่นตระหง่านอยู่ติดกับไชน่าทาวน์ ซึ่งที่วัดแห่งนี้นั้นมีพระบรมสารีริกธาตุที่เป็นพระทนต์ของพระพุทธเจ้าอยู่นั่นเอง .. วัดพระเขี้ยวแก้วเป็นวัดพุทธครับสถาปัตยกรรมศิลปะการออกแบบเป็นแบบจีนในสมัยราชวงศ์ถัง ซึ่งสร้างมาตั้งแต่ปี พ .ศ.2548 นักท่องเที่ยวที่มาสามารถเข้าชมได้ฟรี โดยเปิดบริการทุกวันตั้งแต่ 7.00 – 19.00 น. ..
* การเดินทางมายังบริเวณไชน่าทาวน์สิงคโปร์มาได้โดยนั่งรถไฟฟ้า MRT ลงที่สถานี Chinatown ตามชื่อเลย จากนั้นก็ให้ออกมาทางออก A (Exit A) จะมาเจอตรงบริเวณถนน Pagoda St. จากนั้นก็เริ่มเดินสู่ไชน่าทาวน์กันได้เลย
…Gardens by the Bay คือสถานที่ต่อไปที่ผมแวะไปถ่ายภาพ แต่เนื่องจากเคยมาถ่ายช่วงที่ทางสวนจัดแสดงไฟ สี เสียงแล้ว ครั้งนี้ผมเลยเลือกมาเก็บบรรยากาศสบาย ๆ ยามเย็นแทน .. ก็เห็นได้ว่านี่เป็นเหมือนแหล่งฟอกปอดแห่งใหญ่ของคนสิงคโปร์ ซึ่งรวมไปถึงนักท่องเที่ยวด้วยก็ว่าได้ .. เพราะขนาดของพื้นที่ที่กว้างใหญ่บวกกับการตกแต่งออกแบบด้วยแนวคิดสร้างสรรค์ที่สร้างเป็นผลงานอลังการได้ขนาดนี้ ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของสิงคโปร์ในทุกวันนี้ไปแล้วเช่นกัน .. Gardens by the Bay มีโซนต่าง ๆ ภายในให้เราเลือกเดินไม่ว่าจะเป็นสวนพฤกษศาสตร์ โซนที่เป็นโดมทั้ง 2 โดม ทั้งโดมดอกไม้ (Flower Dome) และ โดมป่าเมฆ (Cloud Forest) หรือลานกิจกรรมสำหรับเด็ก และอีกหลายต่อหลายโซนที่มีให้นักท่องเที่ยวได้เลือกอยู่มากมาย ใครที่มาก็สามารถซื้อตั๋วเพื่อเข้าไปยังโซนต่าง ๆ ได้ แต่อย่างผมที่ต้องการแค่มาเก็บภาพบรรยากาศสบาย ๆ กิจกรรมพักผ่อนยามเย็นของคนที่มาที่นี่ก็สามารถเข้ามาเดินเล่นภายในสวนนี้ได้เลย
* การเดินทางมายัง Gardens by the Bay มาได้โดยการนั่งรถไฟฟ้าสาย Circle Line เลือกลงสถานี MRT Bayfront แล้วออกที่ทางออก Gardens by the Bay ออกมาปุ๊บก็จะเจอกับทางเข้า (เพิ่มเติมลิ๊งค์ภาพการแสดงโชว์ของ Supertree ที่เคยถ่ายไว้จากการเดินทางครั้งก่อน http://forzanu.com/landscape-nature/singapore-gardens-by-the-bay.html
…ผ่านไปกับสวนใหญ่ใจกลางสิงคโปร์มาสู่ลำดับต่อไปที่ Clarke Quay ซึ่งมีพื้นที่ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำสิงคโปร์ เดิมที่ร้อยกว่าปีก่อนนั้นเป็นท่าเทียบเรือเก่าแก่ที่ใช้ในการขนถ่ายสินค้าจากสำเภาโบราณที่มาจากทั้งตะวันออกและตะวันตก ซึ่งในปัจจุบันบริเวณที่เคยเป็นท่าเทียบเรือที่เต็มไปด้วยโกดังก็ได้กลายเปลี่ยนเป็นแหล่งสีสันยามเย็น ยามค่ำคืนที่นักท่องเที่ยวจำนวนมากเลือกมานั่งกินลมชมบรรยากาศบริเวณแม่น้ำเล็ก ๆ แห่งนี้ … ผู้คนที่เดินทางมาก็มาด้วยไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันไปบ้างก็มาห้างสรรพสินค้าแล้วก็มาเดินเล่นต่อที่บริเวณนี้ บ้างก็มากันเป็นคู่นั่งมองวิวมองบรรยากาศยามเย็น เดินเล่นไปมา และอีกจำนวนไม่น้อยที่มาเพื่อรับประทานอาหารจากร้านค้า ร้านอาหารที่มีอยู่มากมายบริเวณนี้ทั้งผับ ทั้งบาร์ เรียกได้ว่าเป็นแหล่งแสงสีเสียงตัวจริงของคนชอบบรรยากาศคึกคัก ๆ .. นอกจากจะมาพักผ่อนสังสรรค์อีกหนึ่งกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจก็คือการนั่งเรือล่องเรือชมทัศนียภาพจากสองข้างฝั่ง เรียกว่าเพลินอุราในแบบฉบับที่ต่างกันไปของแต่ละคน ส่วนสำหรับผมเมื่อเดินถ่ายภาพบริเวณนี้จนหนำใจก็เลือกไปนั่งเฉย ๆ นั่งนิ่ง ๆ บริเวณสะพานที่มีลุงแก่ ๆ มาเปิดหมวกร้องเพลงฟังแล้วได้บรรยากาศคลาสสิคดีจริง ๆ
* การเดินทางมายัง Clarke Quay นั่งรถไฟฟ้ามาลงที่สถานี Clarke Quay เลือกออกที่ทางออก Exit G ได้เลย
…ผ่านไปเรื่อย ๆ กับสถานที่ยอดนิยมต่าง ๆ และแน่นอนว่าอีก 3 สิ่งที่เราจะพลาดไม่ได้เลยเพราะนี่คืออีก 3 จุดที่ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์แห่งสิงคโปร์ที่เราสามารถเดินถ่ายภาพได้ครบกับ .. Merlion, Marina Bay Sands, Helix Bridge ..โดยขอเริ่มต้นกันตั้งแต่บริเวณที่ตั้ง Merlion : Sign of Singapore อันดับที่ 1 … อย่างที่รู้กันดีว่าเป็นจุดยอดนิยมที่สุดที่ใครมาสิงคโปร์ก็ต้องมาเก็บภาพเจ้าสิงโตพ่นน้ำที่นี่ ไม่อย่างนั้นก็จะเสมือนว่ามาไม่ถึงสิงคโปร์ ตลอดระยะเวลาตั้งแต่เช้าไปจนถึงกลางคืนเจ้าสิงโตพ่นน้ำก็จะยืนเด่นตระหง่านคอยต้อนรับนักท่องเที่ยววันนึงจำนวนเป็นพัน ๆ อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ซึ่งแน่นอนว่าปริมาณช่วงเย็นที่แดดร่มลมตกนั้นจะมีผู้คนเดินทางมามากเป็นพิเศษ หากเป็นนักท่องเที่ยวทั่ว ๆ ไปแค่ได้ภาพตัวเองติดกลับไปเป็นที่ระลึกก็คงชื่นใจแล้ว แต่กับเหล่าตากล้องคนที่บ้าการถ่ายภาพที่อยากได้ภาพเมอร์ไลอ้อนแบบโล่ง ๆ ปราศจากคน ผมแนะนำให้มาช่วงเช้ามืดครับโดยเจ้าสิงโตจะเริ่มพ่นน้ำเวลา 6 โมงครึ่งตอนเช้าโดยประมาณ ยอมตื่นเช้าสักนิดก็จะได้ภาพที่ถูกใจได้ไม่น้อย .. ตัดกลับมาที่ยามเย็นผมเดินจากเมอร์ไลอ้อนเดินมาทางด้านซ้ายมาเรื่อย ๆ เพื่อจะอ้อมไปยังอีกฝั่งที่จะสามารถเห็นโรงแรม Marina Bay Sands ได้ถนัด ๆ พร้อมกับเห็นเหล่าบรรดาตึกอาคารย่านธุรกิจที่เรียงรายซ้อนกันอยู่แน่นขนัด ตกเย็นแดดเบา ๆ ลมเบา ๆ เดินแล้วเหนื่อยก็หยุดพักชิมบรรยากาศมองดูท้องฟ้าดูผืนน้ำ และตึกสวย ๆ ก็ถือว่าเพลินไม่น้อย ..
…แล้วก็เดินเรื่อยมาจนถึงบริเวณของสะพานเฮลิกซ์ สะพานที่มีโครงสร้างโดดเด่นแปลกตา มีตัวโครงโค้งเป็นเกลียวคู่สลับไปโดยผู้ออกแบบได้แรงบันดาลใจมาจากโครงสร้างของ DNA มนุษย์ .. ครั้งแรกเมื่อปีก่อนผมมาเวลากลางวันอย่างเดียวก็ได้ภาพที่ใสสะอาดกลับไป มาครั้งนี้จึงตั้งใจจะมาเก็บแสงเย็นยามอาทิตย์อัสดงช่วงทไวไลท์ที่ Helix Bridge เพื่อจะได้ภาพที่ไม่ซ้ำจากเดิม พร้อมบอกได้เลยว่าเวลากลางคืนที่บริเวณนี้ถ่ายรูปสวยมาก .. และที่ดูเท่ไปกว่านี้คือในแต่ละวันไฟที่ประดับอยู่ตามสะพานนั้นก็จะมีการเปิดสีไฟที่แตกต่างกันไปไม่ซ้ำกัน อย่างผมมาในวันนี้เป็นสีฟ้าก็ดูสวยงามแปลกตาดีเพราะส่วนใหญ่ไฟก็จะเป็นสีส้ม .. จุดนี้ผมว่าเป็นอีกลูกเล่นที่ทำให้คนอยากเก็บภาพต้องได้มีโอกาสกลับมาแล้วกลับมาอีกเป็นแน่ …
…ก่อนจะปิดท้ายด้วยภาพของโชว์ แสง สี เสียง และ น้ำพุ ที่จัดแสดงโดย Marina Bay Sands ในชุดการแสดงที่มีชื่อว่า “Wonder Full – Light & Water Spectacular” ซึ่งบอกได้เลยว่าปิดท้ายการเดินทางได้อย่างยอดเยี่ยม และอลังการเป็นที่สุด ส่วนตำแหน่งที่เราจะสามารถถ่ายรูปได้อย่างชัดเจนก็คือตรงบริเวณตำแหน่งเมอร์ไลอ้อนได้เลย หรืออย่างผมอยู่ตรงมุมนี้แม้จะไม่ได้อยู่ตรงข้ามแบบเต็ม ๆ แต่มุมนี้ที่อยู่ข้าง ๆ Marina Bay Outdoor Gallery ก็ยังสามารถมองเห็นและถ่ายรูปได้สบาย ที่สำคัญไม่ต้องเบียดกับผู้คนจำนวนมากที่บริเวณเมอร์ไลอ้อนอีกด้วย … ส่วนช่วงเวลาในการแสดงโชว์ Wonder Full – Light & Water Spectacular ก็ตามนี้เลยครับ วันอาทิตย์ – พฤหัสบดี : 20:00 น., 21:30 น. วันศุกร์, เสาร์ : 20:00 น., 21:30 น., 23:00 น. ระยะเวลาการแสดงแต่ละรอบอยู่ที่ประมาณ 15 นาที สามารถชมได้ฟรี ยืนตรงไหนก็ชมตรงนั้นได้เลย … เรียกได้ว่าปิดท้ายการเดินทางได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะในครั้งแรกเมื่อปีก่อนที่ผมได้มานั้นพลาดไปกับการแสดงชุดนี้เนื่องจากไม่มีเวลาพอ มาในวันนี้ได้เดินทาง ได้ภาพที่พอใจ และได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ กลับไป โดยรวมต้องบอกว่าสิงคโปร์ก็ยังคงเป็นประเทศที่สวยงามสำหรับผม ทั้งในเรื่องของระเบียบวินัย อาคารสถาปัตยกรรมต่าง ๆ กลิ่นไอของวัฒนธรรมจากแต่ละเชื้อชาติที่ผสมผสานมารวมอยู่ด้วยกันได้อย่างลงตัว… ส่วนสำหรับผมเรื่องเป้าหมายที่ต้องเดินทางแบบประหยัดทั้งหมดผมก็เลือกเส้นทางที่เดินทางด้วยรถไฟฟ้านี่แหละครับ เพราะเป็นเส้นทางที่สะดวกที่สุดในการเดินทางสู่สถานที่ไฮไลท์แต่ละอย่างได้ครบครัน .. เข้าใจง่าย ๆ ก็คือการเดินทางเป็นอะไรที่ค่อนข้างตายตัวอยู่แล้วกับราคาค่าใช้จ่าย ส่วนที่ผมประหยัดแต่ไม่ถึงกับอดในเรื่องอาหาร ก็เลือกกินข้าวร้านตามข้างทางทั่วไปนี่แหละครับ ที่ไม่ใช่ร้านแพงร้านหรูก็ทั้งกินทั้งอยู่ได้แบบไม่ต้องเครียดมากนะ … เรียกว่าการเดินทางครั้งนี้นอกจากจะได้ประหยัดตามเป้าหมายที่วาดไว้แล้ว ภาพที่ได้มาจากแต่ละสถานที่ก็บอกได้เลยว่าคุ้มค่า .. และหากมีโอกาสให้ได้มาที่สิงคโปร์อีกก็คงจะต้องกลับมาอีกครั้งแน่ ๆ .. สีสันแห่งสิงคโปร์…
* การเดินทางมายังบริเวณ Merlion นั่งรถไฟฟ้า MRT มาลงที่สถานี Raffles Place แล้วเดินต่ออีกประมาณ 10 นาที
ป.ล.1 : ขอบคุณสายการบิน Nokscoot สำหรับคำเชิญการเดินทางในครั้งนี้
ป.ล. 2 : ขอบคุณ GlobalWifi บริการให้เช่า Pocket Wifi สำหรับใช้ในการเดินทาง .. คุณภาพดีสัญญาณแรง ประทับใจกันไป ^^
…ด้านล่างเป็นภาพแบบเต็ม ๆ ค่อย ๆ เลื่อนชมได้ตามสะดวกเลยครับ… ปุ่มแชร์ FB และ Comment พร้อมทักทายกันได้เลย…
*******************************************************