🇬🇪 Georgia : From Tbilisi to Batumi 🇬🇪

“จอร์เจีย(Georgia)” ประเทศเล็ก ๆ ที่มีขนาดพื้นที่เล็กกว่าประเทศไทยประมาณเกือบ 8 เท่าตัว.. ประเทศที่มองได้ว่าอยู่ 2 ทวีป เพราะถ้านับตามภูมิศาสตร์ที่มีแนวเทือกเขาคอเคซัสเป็นตัวกำหนดเขตสิ้นสุดภาคพื้นยุโรปจะเท่ากับว่าจอร์เจียนั้นอยู่ในทวีปเอเชีย แต่หากเป็นเรื่องบ้านเมือง การปกครอง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ชื่อของจอร์เจียนั้นกลับถูกไปร่วมอยู่กับประเทศกลุ่มยุโรปอย่างที่เราเห็นง่าย ๆ ก็คือการแข่งขันกีฬาต่าง ๆ ประเทศจอร์เจียก็จะไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมแข่งขันอะไรที่เกียวกับเอเชียเราเลย ซึ่งรวมไปถึงเรื่องราวของศิลปะ สถาปัตยกรรมต่าง ๆ ที่เราเห็นได้ว่าประเทศนี้นั้นมีภาพลักษณ์ไปทางยุโรปอย่างชัดเจน..จอร์เจียอาจไม่ใช่ประเทศยักษ์ใหญ่ที่มีชื่อเสียงมากนัก แต่เรื่องราวประวัติศาสตร์ของประเทศนี้ก็มีอายุอานามเก่าแก่มากกว่า 2,500 ปี ..สำหรับใครที่เคยเดินทางมาที่จอร์เจียกันแล้วก็คงสัมผัสได้ถึงความสวยงามในด้านต่าง ๆ ที่แทบจะปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คืออีกหนึ่งประเทศที่ความงามไม่เป็นรองประเทศไหน ๆ ในยุโรปเลยแม้แต่น้อย… ส่วนใครที่ยังไม่เคยไปหรืออาจต้องการข้อมูล หรืออยากเห็นภาพสวย ๆ ของจอร์เจียให้มากขึ้นก็หวังว่าอัลบั้มนี้น่าจะช่วยเปิดประสบการณ์ให้เพื่อน ๆ ได้เห็นอะไรเกี่ยวกับจอร์เจียมากขึ้น… ซึ่งเมืองที่ผมจะนำภาพมาให้ชมกันก็มีดังต่อไปนี้

  • Tbilisi : สัมผัสความงดงามของเมืองหลวงในบรรยากาศแบบยุโรปที่มีความสวยงามของท้องถนน และความเก่าแก่ของสิ่งก่อสร้างตั้งแต่สมัยอดีตที่ยังคงให้เห็นมาจนถึงปัจจุบัน
  • Gudauri : เมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสกีรีสอร์ทเดินทางไปยัง Russia-Georgia Friendship Monument อนุสรณ์สถาน โดยระหว่างทางก็เต็มเปี่ยมไปด้วยวิวสองข้างทางของเทือกเขาคอเคซัสแบบอลังการ ๆ 
  • Mtskheta : นี่คือเมืองหลวงเก่าพาไปชมโบสถ์ Jvari Monastery ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาขนาดย่อม ๆ และชมวิวจากมุมสูง ๆ 
  • Gori : ที่ต่อไปนี้เท่มากกับ Uplistsikhe ถ้ำเก่าแก่ที่เคยเป็นศูนย์กลางทางศาสนา พื้นที่แนวหินที่สลับซับซ้อนถ่ายรูปสนุกมากเลยสำหรับที่นี่
  • Batumi : เมืองท่าสุดล้ำที่มีตึกสูง ๆ สวย ๆ รูปทรงแปลก ๆ อย่าง Alphabetic Tower และบรรยากาศริมทะเลดำ ที่สำคัญว่ากันว่านี่คือเมืองที่ทันสมัยที่สุดของจอร์เจียเลย

…ส่วนภาพของการเดินทางอัลบั้มนี้อาจจะไม่ครบทุกจุด หรือละเอียดมากนักเพราะผมไปทำงานเป็นอันดับแรกจึงแค่พอมีเวลาแว่บ ๆ ถ่ายรูปมาบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ (แต่ก็พอเอามาเล่ามาเขียนเป็นเรื่องเป็นราวได้อยู่) ว่าแล้วก็ค่อย ๆ เริ่มต้นทำความรู้จักประเทศจอร์เจียแล้วเดินทางผ่านภาพเที่ยวผ่านเลนส์ไปด้วยกันครับ


• Where is Georgia? •

…นี่คืออีกหนึ่งประเทศที่บางทีบางครั้งก็สร้างความสับสนความงงเล็ก ๆ น้อย ๆ ว่าประเทศนี้อยู่ทวีปไหนกันแน่ระหว่างเอเชียกับยุโรป.. ส่วนสำหรับคำตอบก็ได้ตามนี้ว่าหากเรายึดกันที่เรื่องของภูมิประเทศภูมิศาสตร์ด้วยข้อมูลที่ว่าแนวเทือกเขาคอเคซัสเป็นตัวกำหนดเขตสิ้นสุดภาคพื้นยุโรปนั่นก็คือประเทศจอร์เจียจะไม่ได้อยู่ในพื้นที่เขตยุโรป แต่ด้วยเรื่องของศิลปะ สถาปัตยกรรม รวมไปถึงบ้านเมือง การปกครอง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่าง ๆ นั้นจอร์เจียกลับไปมีส่วนร่วมอยู่กับทางยุโรป นั่นทำให้ภาพลักษณ์ของจอร์เจียนั้นดูจะออกไปทางประเทศในกลุ่มยุโรปมากกว่า

…ส่วนพิกัดแบบเป๊ะ ๆ นั้นจอร์เจียอยู่ในเขตยุโรปตะวันออก และเอเชียตะวันตก ซึ่งมีส่วนของเทือกเขาคอเคซัสอันโด่งดังพาดผ่าน..

  • ทิศเหนือมีพื้นที่อยู่ติดกับประเทศรัสเซีย (Russia)
  • ทิศใต้อยู่ติดกับประเทศตุรกี, อาร์เมเนีย, 
  • ทิศตะวันออกเฉียงใต้ติดกับประเทศอาเซอร์ไบจัน
  • ด้านซ้ายทิศตะวันตกติดกับทะเลดำ (Black Sea)

…เรียกได้ว่าเป็นประเทศที่ห้อมล้อมด้วยหลากหลายประเทศจริง ๆ ส่วนจำนวนประชากรก็คร่าว ๆ ไม่เยอะอยู่ที่ราว ๆ 4 ล้านคนเท่านั้นเอง


• When to go? •

  • ฤดูหนาว : ธันวาคม – กุมภาพันธ์ : แน่นอนว่าเป็นช่วงหน้าหนาวซึ่งข้อดีก็คือได้เห็นบรรยากาศอย่างหิมะแน่นอน แต่อย่างเมืองที่มีหิมะเยอะอยู่แล้วก็อาจทำให้การเดินทางลำบากหรือต้องลุ้นหนักกันสักนิด และอีกข้อที่นักท่องเที่ยวรู้ดีก็คือช่วงเวลากลางวันแดดออกนั้นจะสั้นมาก 8-9 โมง ไปจนถึง 5 โมงก็ฟ้ามืดได้เลย
  • ฤดูใบไม้ผลิ : มีนาคม – พฤษภาคม : ช่วงนี้ท้องฟ้าดวงอาทิตย์ขึ้นลงตามปกติแล้ว การเที่ยวก็สะดวกสบายขึ้น แถมสำหรับเมืองที่มีหิมะอยู่แล้วเราก็ยังได้สัมผัสบรรยากาศขาวโพลนของหิมะ และความหนาวเหน็บอีกด้วย ซึ่งน่าจะเป็นที่ชื่นชอบของคนไทยมากที่สุด
  • ฤดูร้อน : มิถุนายน – สิงหาคม : ก็เข้าสู่ช่วงหน้าร้อนแบบจริงจังของคนที่นี่ แต่ก็ถือว่าเป็นช่วงโปรดช่วงพีคของชาวยุโรปส่วนใหญ่ ที่สำคัญเป็นฤดูกาลที่เราจะมีเวลาเที่ยวระหว่างวันได้มากด้วยเพราะเรียกว่าบางวันออกเที่ยวแต่เช้ากว่าฟ้าจะมืดมีปาเข้าสามสี่ทุ่ม ท้องฟ้าอากาศเป็นใจปลอดโปร่งเตรียมเมมกล้องมาเยอะ ๆ ได้เลยหากใครมาช่วงนี้
  • ฤดูใบไม้ร่วง : กันยายน – พฤศจิกายน : แน่นอนว่าช่วงนี้หิมะก็ได้แห้งหายไปเป็นที่เรียบร้อยเข้าสู่ฤดูกาลเปลี่ยนสีสันของเหล่าใบไม้ใบหญ้าในพื้นที่แถบยุโรปที่สร้างความสวยงามให้กับบ้านเมือง และสถานที่สวย ๆ ต่าง ๆ ส่วนสภาพอากาศก็ลดความร้อนแรงลงไปพอสมควร น่าจะเป็นอีกช่วงที่คนไทยอย่างเราเที่ยวได้ในแบบอากาศที่เราอยากเจอ

…จริง ๆ จะไปช่วงไหนก็ได้นะตามใจปรารถนา แต่ถ้าเอาแบบช่วงฤดูกาลโดยคร่าว ๆ ประเทศจอร์เจียก็มีสภาพภูมิอากาศที่เย็นสบายเกือบตลอดปี .. ส่วนช่วงฤดูกาลของจอร์เจียก็ไม่ต่างอะไรมากนักจากหลาย ๆ ประเทศในภาคพื้นยุโรป(อย่างในช่วงที่ผมมาตรงกับช่วงเดือนเมษาก็ถือว่าอากาศก็ยังดีงามอยู่เดินเล่นลมเย็นสบาย.. แถมบางเมืองอย่าง Gudauri ก็ยังได้พบเจอได้หนาวเหน็บไปกับหิมะ และวิวขาว ๆ สวย ๆ ข้างทางอีกด้วย)


• How to go? •

…ในปัจจุบันยังไม่มีสายการบินไหนบินตรงจากไทยไปยังจอร์เจีย(ณ ตอนที่เขียนบทความนี้ มิถุนายน 2021) ดังนั้นวิธีเดียวก็คือการต่อเครื่องซึ่งอย่างที่ผมเดินทางไปก็บินจากสุวรรณภูมิไปรอต่อเครื่องที่ Istanbul (ตุรกี) ขึ้นเครื่องประมาณ 21.45 น.เวลาไทย ถึงตุรกีก็ ตี 4 เวลาที่นั่น.. แล้วก็รอต่อเครื่อง 6.30 บินตรงสู่ทบิลิซี่เบ็ดเสร็จถึงจอร์เจีย 9.45 น.โดยประมาณ .. ส่วนสายการบินอื่นก็มีบินจากไทยไปต่อเครื่องกันหลายที่อย่างเช่น อัลมาตี้ (Almaty) คาซัคสถาน, หรือดูไบ ก็มีเช่นกัน

…ส่วนอีกเรื่องสำคัญสุด ๆ ก็คือ “วีซ่า” สำหรับประเทศจอร์เจียนั้นคนไทยเราสามารถไปเที่ยวได้สบายโดยไม่ต้องทำวีซ่าใด ๆ ให้เสียเวลา แค่พกพาสปอร์ตไปหล่อ ๆ สวย ๆ ก็เดินทางได้แล้ว แถมยังสามารถอยู่ได้นานถึง 365 วันด้วย.. เรียกว่าจัดเต็มได้เลยครับหากใครคิดจะมาเที่ยวจอร์เจีย


• For Your Information 

…อันนี้นอกเรื่องจิปาถะเผื่ออาจมีประโยชน์บ้าง ..

  • เสื้อผ้า : ก็เอาไปแบบไม่ต้องหนามาก แต่ต้องบอกก่อนว่าผมไม่ใช่คนขี้หนาวสักเท่าไหร่ ดังนั้นชุดอุปกรณ์ที่เอาไปก็จะแค่พื้นฐานเริ่มต้นอย่าง วันไหนลมแรง ๆ ก็เสื้อยืด แจ๊คเก๊ตยีนส์ แต่จะมีวันที่หนาวหน่อยอย่างช่วงที่ไปต้นเดือนเมษายนที่เมืองอื่น ๆ อากาศก็อยู่ที่ราว ๆ 25 องศาไม่ร้อนกว่านั้น จะมีหนาวสุดก็เมือง Gudauri ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยหิมะก็จะใส่ให้หนาขึ้นอีกสักเล็กน้อย ..ส่วนใครที่อยากชัวร์ ๆ ว่าไม่อยากทรมานผมแนะนำว่าเสื้อขนเป็ด หรือเสื้อกันหนาวลองจอห์นติดไปอีกสักชั้นก็จะดีไม่น้อย
  • ภาษาที่ใช้ :ส่วนใหญ่แล้วคนที่นี่ก็จะใช้ภาษาจอร์เจียเป็นหลัก จะมีบ้างที่พูดภาษาอังกฤษได้บ้างแต่ก็ไม่ได้เยอะมากมายสักเท่าไหร่นักเพราะก็ยังถือว่าไม่ใช่ภาษาหลักของชาวจอร์เจีย
  • ปลั๊กไฟ : อีกหนึ่งไอเทมที่เดินทางแต่ละทีก็ต้องค้นหาข้อมูลกันสำหรับใครมี Universal Adapter ก็ไม่ต้องกังวลอะไร ซึ่งที่จอร์เจียนั้นใช้กำลังไฟ 220 โวลต์เท่ากันกับบ้านเรา แต่หัวปลั๊กไม่เหมือนกัน ย้ำว่าไม่เหมือนกันโดยจะเป็นแบบหัวกลม Type C หรือ Type F 
  • สกุลเงิน : ที่จอร์เจียเรียกว่า “ลารี่” (GEL : Georgian Lari) ซึ่งถ้าให้แนะนำก็แลกเป็นยูโรหรือดอลล่าร์แล้วแต่ใครสะดวกแบบไหน แล้วค่อยไปแลกเป็นสกุลเงินของจอร์เจียที่นั่นก็ได้ ส่วนเรทหากคำนวณคร่าว ๆ กลม ๆ เป็นบาทไทย 1 ลารี่ก็จะประมาณ 10-11 บาทไทย
  • เวลา : ประเทศไทยบ้านเราจะเร็วกว่าที่จอร์เจียอยู่ 3 ชั่วโมง ก็กะเวลาให้ดีสำหรับการติดต่อกลับมายังบ้านเรา


• Hello!! Tbilisi •

…และแล้วก็มาถึงเมืองหลวง Tbilisi เมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศจอร์เจีย ประเทศที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมากว่า 2,500 ปี เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งประเทศเก่าแก่ของโลกเราก็ว่าได้ .. 


• Take a Walk around Liberty Square •

…เริ่มต้นการเดินเล่นแบบเบา ๆ ที่บริเวณ “จตุรัสแห่งเสรีภาพ (Liberty Square / Freedom Square)” ตัวถนนหนทางรวมไปถึงตึกรามอาคารต่าง ๆ ก็บอกได้เลยว่าที่นี่ไม่ต่างอะไรจากยุโรปทั่ว ๆ ไป ทั้งต้นไม้ ถนนหนทาง มวลโดยรวมระหว่างเดินไปเดินมาบวกเข้ากับสภาพอากาศที่เย็นสบายกำลังดีเสื้อยืดตัว เสื้อแจ๊คเก๊ตอีกสักตัวก็เดินเล่นถนนเส้นนี้ได้ยาว ๆ เลย.. ใครที่เดินทางมาผมว่าอย่างน้อยให้เวลากับเมือง Tbilisi ไว้เยอะ ๆ หน่อยก็ดี เพราะนอกจากเมืองเที่ยวในเมืองหลวงเองแล้ว ในกรณีว่าอยากไปเที่ยวเมืองอื่นแต่ไม่สะดวกเรื่องที่พักก็กลับมานอนที่ทบิลิซี่ก็ยังได้


• Holy Trinity Cathedral of Tbilisi •

“วิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองทบิลิซี” อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญเมื่อมาถึงเมืองทบิลิซี่นั่นก็คือมาเยี่ยมชมโบสถ์ชมวิหารรวมไปถึงสถาปัตยกรรมอันเก่าแก่ที่มีอยู่มากมายหลายแห่ง และนี่ก็คืออีกหนึ่งของสถาปัตยกรรมของคริสตจักรออร์โธดอกจอร์เจียที่สร้างขึ้นมาในช่วงปี 1995-2004 ..

…จากที่สัมผัสได้นับจากก้าวแรกตั้งแต่ประตูทางเข้ามองมายังตัววิหารก็บอกได้เลยว่าอลังการเกินคาดมาก วิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองทบิลิซีแห่งนี้เปรียบเสมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญมากนับตั้งแต่ในอดีต และหากจะพูดถึงโบสถ์ออร์โธดอกซ์จากทั่วทุกมุมโลกแล้ว Holy Trinity Cathedral of Tbilisi แห่งนี้ยังถูกจัดอันดับให้เป็นวิหารที่มีความสูงเป็นอันดับ 3 ของโลกด้วย (ย้ำว่าในประเภทโบสถ์ออร์โธดอกซ์นะครับ) ส่วนนักท่องเที่ยวหรือผู้ที่ต้องการเดินชมภายในวิหารหากเป็นผู้หญิงก็จะต้องสวมผ้าคลุมศีรษะไว้ด้วยตามกฏระเบียบ และหลักความเชื่อทางศาสนาของที่นี่  


• The Bridge of Peace •

“สะพานสันติภาพ” (The Bridge of Peace หรือในภาษาจอร์เจีย Mshvidobis Khidi) อีกหนึ่งสถาปัตยกรรมที่ผมว่ายกระดับสร้างความล้ำสมัยให้กับตัวเมืองทบิลิซี่ได้มากขึ้นอีกเยอะ ด้วยรูปทรงที่ดูโฉบเฉี่ยวดูทันสมัยแม้ว่าระยะทางความยาวของสะพานอาจไม่ได้ยาวสักเท่าไหร่นักอยู่ที่ 150 เมตร สร้างขึ้นข้าม “แม่น้ำคูรา(Kura River)” หรือเรียกอีกชื่อว่า “มิกวารี(Mtkvari)” เชื่อมระหว่างสองฝั่งตัวเมืองเก่า และตัวเมืองใหม่.. เป็นอีกจุดที่คนนิยมมาถ่ายรูปกันเยอะพอสมควรจากที่ผมได้เดินข้ามมาคือไม่มีจังหวะที่จะได้ภาพคนน้อย ๆ หรือโล่ง ๆ เลยเพราะไหนจะนักท่องเที่ยวไหนจะชาวจอร์เจียด้วยเองที่เดินข้ามผ่านไปมาก็รับรู้ได้เป็นอย่างดีว่านี่คือจุดที่มีความสำคัญของเมืองอีกแห่ง

…สะพานนี้เปิดใช้งานมาตั้งแต่ 6 พฤษภาคม 2010 (จนถึงตอนนี้ 2021 ก็บวกลบได้ 11 ปีแล้ว) อีกไฮไลท์สำคัญของสะพานก็คือมีแสดงแสงสีจากไฟ LED ที่ประดับประดาอยู่รอบสะพานโดยไฟ Illuminating จะเปิดในช่วงเย็น ๆ ค่ำ ๆ ประมาณ 90 นาที.. ซึ่งผมเองก็ไม่ได้นำภาพมาฝาก 555 เพราะไม่มีเวลาไปถ่ายจริง ๆ เลยได้แต่เก็บภาพช่วงระหว่างวันมาแทน


• Europe Square •

…เดินเล่นกันที่สะพานสันติภาพไปเป็นที่เรียบร้อยก็มาถึงอีกจุดใกล้กัน แม้ตรงจุดนี้ไม่มีอะไรมากครับเป็นเหมือนจุดพบปะขนาดย่อม ๆ ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง โดยที่อาจจะไม่ได้เป็นลักษณะของสวนสักทีเดียวแต่ก็เป็นอีกจุดศูนย์กลางเชื่อมต่อไปยัง Metekhi St.Virgin Church ที่อยู่ใกล้กัน ..ส่วนใครที่อยากเดินเล่นสวนสาธารณะแบบจริง ๆ จัง ๆ ตรงนี้ก็จะมีที่ “Rike Park” สวนสาธารณะที่อยู่ติดกับสะพานสันติภาพก็เป็นจุดที่น่ามาเดินเล่น และถ่ายรูปเล่นอยุ่ไม่น้อยนะครับ เพราะโดยรอบ ๆ ก็มีปลูกดอกไม้ ประดับประดาด้วยสถาปัตยกรรมชิ้นเล็ก ๆ อยู่รอบ ๆ ให้เราถ่ายรูปเล่นหามุมสวย ๆ ได้อีกเพียบ.. ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วกับ Rike Park เป็นอีกจุดที่ผมชอบมาก ๆ นะ คือเป็นคนที่ชอบเดินเล่นสวนสาธารณะมาก ๆ ไม่ว่าจะได้ไปที่ประเทศไหนลองให้ได้มีสวนสาธารณะผ่านเข้ามาในโปรแกรม หรือหากหาทางไปเองได้ผมนี่แหละจะต้องหาเวลาไปเดินให้ได้ เพราะมีความรู้สึกว่าสวนสาธารณะมันคือสถานที่ที่คนมาเดินแล้วจะได้รับความรู้สึกผ่อนคลาย การได้มาเห็นผู้คนเดินไปเดินมาทำกิจกรรมต่าง ๆ มองดูวิถีชีวิตผู้คน การแต่งตัว ไลฟ์สไตล์ของแต่ละแห่ง ก็เป็นความสุขง่าย ๆ ที่อาจไม่มีอะไรมากแต่ก็เพลินอุราได้เสมอ ๆ 


• Metekhi St.Virgin Church •

…จากด้านล่าง Europe Square ณ พื้นที่เดียวกันก็เป็นที่ตั้งของ “Metekhi St.Virgin Church (The Virgin Assumption Church of Metekhi)” โบสถ์เมเตคี เป็นโบสถ์เก่าแก่ที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่ในสมัยคริสตศตวรรษที่ 12 ช่วงระหว่างปี 1278 – 1289 เป็นโบสถ์ออร์โธด๊อกซ์จอร์เจียที่ตั้งอยู่ติดกับริมแม่น้ำคูร่า มีลักษณะเหมือนหน้าผาเล็ก ๆ เพราะอยู่บนเนินเขาสูงด้านบน นักท่องเที่ยวที่มาก็เดินขึ้นมาได้เลยครับไม่เหนื่อยเดินนิดเดียวก็ถึงแล้ว

…จุดเด่นของโบสถ์แห่งนี้นอกจากเราจะได้ชมความงดงามของสถาปัตยกรรมในยุคเก่าแล้วก็ยังเป็นจุดชมวิวที่เห็นตัวเมืองทบิลิซี่ได้ในมุมสูง ๆ โดยมีอนุสาวรีย์ “Monument of King Vakhtang Gorgasali” กษัตริย์ผู้ค้นพบเมืองทบิลิซี เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของจอร์เจีย ซึ่งฝั่งที่เรายืนอยู่ตรงนี้คือฝั่งเมืองใหม่ส่วนใบหน้าของกษัตริย์ก็จะหันมองมุ่งหน้าไปทางฝั่งเมืองเก่า และป้อมนาริกาลาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามที่เป็นจุดท่องเที่ยวอีกแห่ง(จากภาพล่างจะเห็นว่าเมื่อมองไกล ๆ ออกไปก็มีกระเช้าไว้นั่งชมวิวเมืองด้วยนะ) 


• Mother of Georgian •

…มาถึงจุดต่อไปฝั่งตรงข้ามที่มีไฮไลท์สำคัญอยู่ 2 สถานที่หลัก ๆ ก็คือ Narikala Fortress และ Mother of Georgian ที่เราสามารถนั่งกระเช้าขึ้นมาได้จากแถว Europe Square เมื่อกระเช้าพาขึ้นมาถึงด้านบนแล้วเราก็เลือกได้เลยว่าจะเดินไปซ้ายเพื่อไป Narikala Fortress กันก่อนหรือจะไปทางขวา Mother of Georgian .. ซึ่งผมเองไม่ได้ไปเดินทางฝั่ง Narikala Fortress เพราะเวลาไม่พอก็เลยมาได้แค่ทางขวา

“Mother of Geogian” หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “Kartlis Deda” คืออนุสาวรีย์ของหญิงสาวความสูงของรูปปั้นอยู่ที่ 20 เมตร ใช้วัสดุเป็นอลูมิเนียม ตั้งอยู่ด้านบนยอดของเนินเขา “Sololaki Hill” อนุสาวรีย์แห่งนี้จะเรียกว่าเป็นสัญลักษณ์ หรือจิตวิญญาณของชาวจอร์เจียก็ว่าได้ซึ่งตัวรูปปั้นนั้นเป็นสุภาพสตรีสวมใส่ชุดพื้นเมือง มือข้างซ้ายถือแก้วไวน์ และมือขวาถือดาบไว้.. ซึ่งมีความหมายตรงไปตรงมานั่นคือสำหรับผู้มาเยือนหากมาด้วยความเป็นมิตรมีไมตรีจิตก็ยินดีจะมอบแก้วไวน์ให้เพื่อเป็นการผูกมิตร แต่หากมาด้วยความเป็นศัตรูหรือไม่ประสงค์ดีก็พร้อมที่จะฟาดฟันปกป้องไม่ให้รุกราน.. ซึ่งรูปปั้นนี้ได้ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1958 เพื่อเป็นการฉลองที่เมืองทบิลิซีมีอายุครบ 1,500 ปี


• Viewpoint to Tbilisi •

…นอกจากจะเป็นจุดสำคัญของ Narikala Fortress และ Mother of Georgian อย่างที่บอกไปแล้ว.. ที่ด้านบนนี้ยังเป็นจุดชมวิวเมืองทบิลิซี่ที่สวยมาก เพราะมองเห็นได้แบบกว้าง ๆ กว้างจริง ๆ กับภาพของแม่น้ำคูร่า(Kura River)พาดผ่านกลางเมืองเห็นเทือกเขาอยู่ไกลออกไปเป็นฉากหลังเป็นภาพที่สวยงามมาก ๆ จากจุดชมวิวด้านบนนี่ถ่ายรูปกันได้อีกเพียบหากมีฉากหลังของเมืองสวย ๆ แบบนี้… ถึงตรงนี้ใครที่มีเลนส์เทเล หรือหากมือถือซูมได้ไกล ๆ ก็ส่องกันสนุกสนานเลยครับ เพราะเราจะได้เห็นรายละเอียดต่าง ๆ ของบ้านเมืองอีกเพียบเลย


• Viewpoint at Matsminda Park •

…ภาพช่วงทไวไลท์นี้ผมขึ้นมาถ่ายเมืองทบิลิซี่อีกครั้งแต่คราวนี้เปลี่ยนมาเป็นบนยอดเขาด้านบนซึ่งเป็นตำแหน่งของ “Matsminda Park” สวนสาธารณะที่มีชื่อเสียงที่ตั้งอยู่บนยอดเขา Mtasminda ตรงจุดนี้เป็นจุดชมวิวอีกจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมขึ้นมาชมทัศนียภาพของเมืองทบิลิซี่ในแบบกว้าง ๆ มุมที่ได้เห็นก็จะคนละมุมกับด้านบนของ Narikala Fortress ความสวยงามก็ต่างกันไป นอกจากนี้ที่ Matsminda Park ยังเป็นสวนสนุกขนาดย่อม ๆ อีกด้วย เรียกว่าถ้าเผื่อเวลามาเยอะ ๆ ก็เที่ยวเล่นที่สวนสาธารณะกันก่อนแล้วช่วงโพล้เพล้แดดหายฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีค่อยมาถ่ายวิวเมืองตอนค่ำคืนก็ยังทัน..

…ก็เป็นอันว่าปิดท้ายของเมืองทบิลิซี่ที่ภาพช่วงทไวไลท์นี้เลย .. ซึ่งความจริงนั้นจุดท่องเที่ยวสวย ๆ ของเมืองทบิลิซี่นั้นยังมีอีกหลายแห่งที่ผมไม่ได้ไปยังไงก็ขอพิมพ์เพิ่มให้ไว้หน่อยให้รู้ว่ายังมีอะไรน่าสนใจอีกเยอะ

  • ย่านเมืองเก่าทบิลิซี่
  • อนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์ : The Chronicle of Georgia ที่บอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ในอดีตของจอร์เจียผ่านเสาหินขนาดใหญ่ 16 ต้น ที่ตั้งอยู่บนยอดเขา และยังเป็นจุดชมวิวมุมสูงด้วย
  • โรงอาบน้ำโบราณ (Abanotubani)
  • Leghvtakhevi Waterfall : น้ำตกที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติที่อยู่ใจกลางเมือง

• Mtskheta : Svetitskhoveli Church •

…จากทบิลิซี่ขึ้นมาทางเหนืออีกประมาณเกือบ ๆ 30 กม. ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเศษ ๆ ก็ถึง “เมืองมิสค์เคตา : Mtskheta” เมืองหลวงเก่าของจอร์เจียซึ่งเมืองนี้ก็มีพิกัดอยู่ข้าง ๆ กับเทือกเขาคอเคซัสอันโด่งดัง.. มีโบสถ์ 2 แห่งที่มีความสำคัญ และเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมา ได้แก่ “โบสถ์สเวทิชโคเวลิ (Svetitskhoveli Church)” โบสถ์หลวงสถาปัตยกรรมยุคกลางที่อยู่บริเวณเมืองเก่าด้านล่าง และ “โบสถ์เมืองจวาริ (Jvari Church หรือ Jvari Monastery)” โบสถ์สถาปัตยกรรมไบแซนไทน์ที่มีที่ตั้งอยู่บนเนินเขาสูง.. ซึ่งทั้ง 2 โบสถ์นี้ก็เป็นหนึ่งในมรดกโลกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์กรยูเนสโก้ด้วย

…ว่าแล้วก็มาเริ่มกันที่โบสถ์สเวทิชโคเวลิ (Svetitskhoveli Church) โบสถ์หลวงที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยยุคกลางกันก่อน ระหว่างทางเดินสู่ตัวโบสถ์ก็จะผ่านร้านขายของที่ระลึกต่าง ๆ มากมาย ก็เดินแวะถ่ายรูปเล่นมาเรื่อย ๆ วันนี้มาสภาพอากาศไม่ค่อยดีฟ้าครึ้มค่อนข้างมากก็เสียดายอยู่หน่อย แต่ไม่เป็นไรขออย่าฝนตกลงมาก็พอและที่สำคัญขอให้วันต่อ ๆ ไปฟ้าสวยทดแทนก็พอ เมืองมิสค์เคตาเป็นเมืองเก่าที่ยังคงเอกลักษณ์ไว้ได้เป็นอย่างดี ด้วยสถาปัตยกรรมตั้งแต่สมัยยุคกลางทำให้เราได้เห็นบ้านเมืองที่เป็นอะไรเก่า ๆ ซึ่งถ้าหากมีเวลาเยอะ ๆ ผมว่าก็น่าแวะเดินเล่นอยู่นะ แต่สำหรับผมแล้วเวลาไม่พอก็ได้แต่แวะมาที่โบสถ์แห่งนี้ โบสถ์สเวทิชโคเวรี(Svetitskhoveli Church) ครั้งหนึ่งเมื่อในอดีตสถานที่แห่งนี้เคยเป็นสถานที่ประกอบพิธีราชาภิเษก และเป็นสุสานหลวงของราชวงศ์จอร์เจียมาก่อน ส่วนในปัจจุบันนอกจากจะเป็นศาสนสถานที่ไว้ประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ แล้วก็ยังเป็นจุดท่องเที่ยวที่นักเดินทางทั้งหลายให้ความสนใจพากันมาชื่นชมสัมผัสความงดงามของสถาปัตยกรรมในยุคกลาง.. จากเท่าที่เดินวนไปมารอบตัวโบสถ์ก็เห็นได้เลยว่าเป็นโบสถ์ที่เก่าแก่มากจริง ๆ ดูจากอิฐจากกำแพงภายนอก รวมไปถึงภายในที่มีลวดลายจิตรกรรมฝาผนังก็มีหลายจุดที่เห็นแล้วรู้ว่าผ่านกาลเวลามายาวนานมาก ๆ แต่ตรงจุดนี้ก็ยิ่งทำให้ดูขลังดูมีเสน่ห์มากขึ้นในทางตรงข้ามกัน


• Mtskheta : Jvari Monastery •

…จากบริเวณเมืองหลวงเก่าด้านล่างคราวนี้ขึ้นมาที่ยอดเขาด้านบนบ้างโดยมาที่ “มหาวิหารจวารี (Jvari Monastery)” อีกหนึ่งในสถานที่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนกับองค์กรยูเนสโก้ให้เป็นมรดกโลกอีกแห่งของเมืองมิสค์เคตา ..โบสถ์นี้อาจจะดูเก่าแก่กว่าโบสถ์ด้านล่างอยู่พอสมควรเป็นโบสถ์คริสต์นิกายจอร์เจียนออร์โธด๊อกซ์ ส่วนสถาปัตยกรรมก็เป็นแบบไบแซนไทน์ ตัวมหาวิหารตั้งอยู่บน “ยอดเขาจวารี : Jvari Mount” มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 656 เมตร  ..นอกจากเราจะใช้เวลาไปกับการเดินชมสถาปัตยกรรมศิลปะทั้งภายในภายนอกวิหารแล้ว ด้วยความสูงของยอดเขาก็ทำให้ตรงนี้กลายเป็นอีกจุดหนึ่งที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางขึ้นมาเพื่อชมวิวเมืองมิสค์เคตาในแบบมุมสูง ๆ เห็นเมืองกันกว้าง ๆ ได้อย่างชัดเจน …และนี่ก็คือภาพของวิวที่มองลงไปยังเมืองด้านล่างจะเห็นได้แบบเต็ม ๆ ตาทั้งตัวเมืองมิสค์เคตาที่อยู่ฝั่งขวา และธรรมชาติอย่างภูเขาที่อยู่ด้านซ้าย มีแม่น้ำที่มาบรรจบกัน 2 สาย ได้แก่ แม่น้ำ Aragvi และ Mtkvari(ที่ไหลพาดผ่านอยู่กลางเมืองทบิลิซี่) นี่เสียดายอยู่ว่าท้องฟ้าไม่ค่อยเป็นใจสักเท่าไหร่ ฟ้าเทาครึ้ม ๆ แต่มาถึงแล้วก็ขอมีภาพตัวเองเท่ ๆ กลับไปสักหน่อยเป็นของที่ระลึกที่ได้ขึ้นมาถึงบนนี้


• Tbilisi to Gudauri •

…จุดหมายปลายทางต่อไปที่ต้องบอกเลยว่านี่คืออีกหนึ่ง “สถานที่ห้ามพลาด” เมื่อมาจอร์เจียนั่นคือมุ่งหน้าสู่ “Gudauri” เมืองสกีรีสอร์ท หรือเมืองตากอากาศ ซึ่งจากชื่อก็น่าจะพอนึกออกแล้วพอมีคำว่าสกีรีสอร์ทเข้ามาภาพของหิมะขาวโพลนก็ต้องเป็นสิ่งที่เราอยากพบเห็น ซึ่งช่วงที่ผมได้เดินทางมาเป็นช่วงต้นเดือนเมษายนดังนั้นรับประกันได้เลยว่าได้เห็นหิมะได้เหยียบหิมะท่ามกลางบรรยากาศหนาว ๆ และจะได้ดื่มด่ำไปกับวิวสวย ๆ สองข้างทางของเทือกเขาคอเคซัสอย่างแน่นอน

…โดยที่จุดหลัก ๆ ของการเดินทางวันนี้(ไปเช้า-เย็นกลับเมืองทบิลิซี่)ก็มี 3 จุดด้วยกัน

  • Zhinvali Reservoir : อ่างเก็บน้ำสวย ๆ แม้มุมถ่ายรูปอาจจะไม่เยอะ แต่ก็เป็นจุดพักระหว่างทางได้เป็นอย่างดี
  • Ananuri Fortress : ป้อมปราการเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในยุคศตวรรษที่ 16-17 ใครที่ชอบแนวสถาปัตยกรรมโบราณรับรองว่าไม่ผิดหวัง
  • Russia-Georgia Friendship Monument : อนุสาวรีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ / รัสเซีย – จอร์เจีย / ที่เป็นจุดชมวิวแบบอลังการร้อยทั้งร้อยมาที่นี่ต้องชอบแน่นอน

• Zhinvali Reservoir •

…นี่คือจุดพักรถพักร่างกายจุดแรกที่ให้เวลาเราได้สัมผัสธรรมชาติตรงหน้ากับภาพของ “อ่างเก็บน้ำชินวารี : Zhinvali Reservoir” อ่างเก็บน้ำที่ทำหน้าที่ส่งต่อให้ชาวเมืองทบิลิซีได้มีไว้ใช้อุปโภคบริโภค และยังเป็นแหล่งผลิตกระแสไฟฟ้าอีกด้วย แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่าจุดนี้ไม่ใช่จุดท่องเที่ยวใหญ่ดังนั้นมุมถ่ายรูปบอกเลยว่าไม่ได้เยอะ แต่แค่ลงไปยืนมองความสวยงามของเนินเขา อ่างเก็บน้ำตรงหน้าก็ถือว่าคุ้มค่าแหละอยู่สำหรับใครที่อยากลงมาเก็บภาพ


• Ananuri Fortress •

…จุดสำคัญถัดมาอยู่ห่างจากอ่างเก็บน้ำชินวารีเลยมาอีกแค่ประมาณ 8 กม. ก็เป็นอันถึง “ป้อมปราการอันนานูรี(Ananuri Fortress)” ป้อมปราการเก่าแก่สุดคลาสสิคสร้างขึ้นตั้งแต่ยุคสมัยศตวรรษที่ 16-17 เมื่อจอดรถที่ด้านนอกเสร็จเรียบร้อยก็เดินเข้ามาเราก็จะสัมผัสได้ถึงความเก่าแก่ และความขลังของป้อมปราการแห่งนี้ ด้วยความที่มีทั้งตัวโบสถ์ ลวดลายสถาปัตยกรรมศิลปะที่ยังคงมีให้เห็นนับแต่ครั้งในอดีตที่ยังคงสภาพให้เราเห็นกันได้อย่างชัดเจนโดยอาจมีเลือนลางไปบ้างตามกาลเวลา ..จุดเด่นของป้อมปราการอันนานูรีอีกอย่างผมว่าก็คือหอคอยสูงที่เราเห็นได้ตั้งแต่ตอนที่นั่งรถมา โดยเป็นภาพของหอคอยที่โดดเด่นตระหง่านอยู่ฝั่งด้านริมผามีเวิ้งของแม่น้ำ Aragvi โอบล้อมอยู่ด้านล่างซึ่งแม่น้ำนี้ก็จะแห้งเหือดอย่างที่เห็นในภาพนี้(ตามช่วงเวลาที่มา)แต่ถ้าเป็นช่วงหน้าน้ำก็จะมีปริมาณน้ำขึ้นมาสูงเห็นได้สวยไปอีกแบบ รวมทั้งในฤดูหนาวที่แม่น้ำด้านล่างจะกลายเป็นผืนหิมะสีขาวขนาดใหญ่ให้เราเห็นได้ในแบบที่ต่างกันไปตามฤดูกาล


• Gudauri : Snow Time Caucasus •

…จากป้อมอันนานูรีมุ่งหน้าขึ้นต่อทางเหนือด้วยระยะทางอีกประมาณ 60 กม. ก็ถึง “เมืองกูเดาริ (Gudauri)” หรือจะเรียกแบบเท่ ๆ ก็ได้ว่า “Gudauri Ski Resort” เพราะเพียงแค่เติมคำว่าสกีรีสอร์ทเข้าไปปุ๊บภาพต่าง ๆ จะมาทันทีทั้งภาพของภูเขา หิมะ การเล่นสกี ความหนาวเย็น การพักผ่อนตากอากาศ รวมไปถึงต่าง ๆ นานาที่เป็นสัญลักษณ์ของการพักผ่อนหย่อนใจในบรรยากาศแบบหนาว ๆ ซึ่งที่เมืองกูเดารินี้ก็เต็มไปด้วยร้านอาหาร โรงแรม รีสอร์ทต่าง ๆ มีรองรับไว้บริการนักเดินทางอยู่มากมายหลายแห่ง …เมืองกูเดาริอยู่ห่างจากตัวเมืองหลวงทบิลิซี่ประมาณ 120 กม. มีพื้นที่ความสูงวัดจากระดับน้ำทะเลประมาณ 2,200 เมตร เป็นอีกเมืองของจอร์เจียที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองตากอากาศเมืองแห่งการพักผ่อนเพราะเมื่อเข้าหน้าหนาวเมืองนี้ทั้งเมืองก็จะกลายเป็นสีขาวโพลนที่อยู่ท่ามกลางบรรยากาศของเทือกเขาคอเคซัส เส้นทางถนนที่ใช้เดินทางก็คือสายหลักที่เรียกว่าเส้นทางหลวง “Georgian Military Highway” ตลอดเส้นทางที่นั่งรถมาเราก็จะเห็นวิวทิวทัศน์ที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ จากก่อนเริ่มที่ยังไม่มีหิมะจนค่อย ๆ มาถึงบริเวณที่มีหิมะปกคลุมแนวเทือกเขาทั้งซ้ายและขวา  …แน่นอนว่ากิจกรรมหลัก ๆ เมื่อเข้าถึงช่วงที่ปริมาณของหิมะหนาแน่นพอที่จะเล่นสกีหิมะได้ที่นี่ก็จะกลายเป็นลานสกียอดนิยม แต่ก็มีทั้งสโนว์บอร์ด โดดร่ม หรือสุดแท้แต่กิจกรรมที่จะทำได้ ส่วนใครที่ไม่ใช่สายเอ็กซ์ตรีมหรือเล่นกีฬา แค่เพียงได้มาเห็นภาพของเทือกเขาคอเคซัสอยู่ตรงหน้าก็คุ้มค่ามากมายแล้วจริง ๆ ยิ่งหากมีเวลามากพอก็สมควรเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาที่พักนอนพักสักคืนสองคืนดื่มด่ำบรรยากาศแห่งขุนเขาเทือกเขาอันโด่งดังให้เต็มอิ่มกันไป ซึ่งช่วงเวลาที่การันตีได้ว่าจะได้เจอหิมะแน่นอนก็อยู่ที่ช่วงเดือนธันวาคมไปจนถึงประมาณเดือนเมษายน (อย่างผมมาต้นเดือนเมษายนปริมาณหิมะก็ยังหนาแน่นมาก ๆ ตามในรูปที่เห็น)

• Gudauri Viewpoint : Russia-Georgia Friendship Monument •

…และก็มาถึงจุดชมวิวอันเลื่องชื่อและทุกคนที่มาที่นี่ต้องแวะมาจุดนี้ “อนุสาวรีย์มิตรภาพรัสเซีย-จอร์เจีย(Russia-Georgia Friendship Monument)” ที่สร้างขึ้นมาเพื่อฉลองในโอกาสครบรอบ 200 ปี สนธิสัญญา “Treaty of Georgievsk” และยังเป็นการเฉลิมฉลองความสัมพันธ์มิตรภาพระหว่างโซเวียตจอร์เจีย และโซเวียตรัสเซียในอดีต.. อนุสาวรีย์นี้สร้างขึ้นมาในปี ค.ศ. 1983 ด้วยหินขนาดใหญ่ และมีโครงสร้างคือคอนกรีตตั้งอยู่โดดเด่นเหนือ “หุบเขาปีศาจ : Devil’s Valley” (ตั้งชื่อซะน่ากลัวเลย 555) ด้านในของอนุสาวรีย์ก็คือภาพเรื่องราวประวัติศาสตร์วิถีชีวิตของชนชาติทั้งสองในอดีต เป็นสถาปัตยกรรมศิลปะแบบโซเวียตที่ตกแต่งด้วยกระเบื้องโมเสกสีสันสดใสที่ดูแล้วสะดุดสายตามาก ๆ โดยเฉพาะท่ามกลางฉากหลังสีขาวหิมะอย่างในช่วงนี้

• Gudauri Viewpoint : Russia-Georgia Friendship Monument •

…ปิดท้ายก่อนต้องลาจากความมหัศจรรย์ และความงดงามของเทือกเขาคอเคซัสด้วยวิวสวย ๆ บริเวณอนุสาวรีย์สักหน่อย.. อ้อ!! เพิ่มเติมให้อีกสักหน่อยหากใครที่มีเวลามากพอเมื่อมาเส้นทางแถบนี้แล้วยังแวะไปต่อได้ที่เมือง Kazbegi ก็เป็นอีกเมืองที่อยู่ใกล้กันที่น่าแวะไปมาก ๆ ส่วนผมเองก็ไม่ได้ไปหรอกครับ ถึงแค่ตรงจุดนี้ก็ต้องทางเดินกลับทบิลิซี่อีกครั้งก่อนจะออกเดินทางไปยังจุดหมายต่อไปที่เมือง Gori


• Road to Uplistsikhe •

…ภาพสวย ๆ ระหว่างเส้นทางมุ่งหน้าสู่เมืองหินโบราณ “Uplistsikhe” ที่อยู่ห่างจากอนุสาวรีย์ Russia-Georgia Friendship Monument ออกไปประมาณ 170 กิโลเมตร


• Uplistsikhe •

เมือง “Uplistsikhe” หลังจากจอดรถเป็นที่เรียบร้อยก็ซื้อตั๋วค่าเข้าแล้วมาตามทางเดินก็จะค่อย ๆ เห็นภาพของเมืองหินโบราณชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ตอนที่มาก็เป็นช่วงบ่ายแล้วสภาพแดดก็ค่อนข้างแรงแต่ยังดีว่ามีลมเย็นพัดมาเป็นระยะ ๆ การมาเที่ยวช่วงนี้มันดีตรงนี้แหละ ฟ้าสวยอากาศปลอดโปร่งแต่ก็ยังมีลมเย็นพัดสบาย ๆ เข้าเรื่องของที่นี่กันต่อ

…Uplistsikhe เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวของประเทศจอร์เจียที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากองค์กรยูเนสโก้ โดยมีพื้นที่อยู่ห่างจากเมือง Gori ไปทางตะวันออกประมาณ 15 กิโลเมตรเท่านั้น.. นี่จึงเป็นจุดท่องเที่ยวอีกแห่งสำหรับใครที่ผ่านมายังเมือง Gori ก็น่าจะแวะมาที่นี่สักหน่อย ความสวยงามแปลกตาของเมืองนี้ที่เราได้เห็นก็เริ่มตั้งแต่ในอดีตที่ได้ถูกสร้างไว้เป็นที่อยู่อาศัยสร้างอยู่บนเนินเขาสูงโดยมีแม่น้ำ Mtkvari River อยู่ด้านล่าง.. ว่ากันว่าเมืองนี้สร้างมาตั้งแต่ยุคเหล็กล่วงมาจนถึงยุคกลาง ก่อนที่ในปัจจุปันจะกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอีกแห่งของจอร์เจีย …ด้วยสภาพภูมิประเทศที่มีลักษณะเป็นเนินเขาสูงบวกกับเป็นหิน การสร้างที่พักก็สร้างขึ้นด้วยวิธีการขุดเจาะโดยจะแบ่งเป็นห้องเชื่อมต่อหากัน ก็ต้องบอกว่าคนยุคโบราณนั้นมีอะไรให้เราทึ่งได้เสมอ ๆ เมื่อมาเห็นถึงการดำรงชีพซึ่งอย่างที่นี่เราก็ได้เห็นถึงการปรับให้ธรรมชาติกลายเป็นที่อยู่อาศัยได้อย่างลงตัว…

…การเที่ยวชมเมืองนี้ก็ไม่มีอะไรมากจะมีก็แค่รองเท้าที่ใส่มาสำหรับผู้ชายคงไม่มีปัญหาแต่สำหรับสาว ๆ ถ้าเป็นส้นสูงหรือรองเท้ามีส้นก็อาจเดินลำบากสักหน่อย เพราะพื้นที่ก็อย่างที่เห็นในภาพคือมีความสูงไต่ระดับขึ้นเนินลงเนินสลับไปมา จะดีหน่อยก็คือสภาพของหินนั้นไม่ได้ขรุขระอะไรมากเป็นหินเรียบ ๆ มากกว่า สรุปเลยที่นี่เป็นอีกหนึ่งจุดหนึ่งของเมือง Gori ที่ผ่านมาแล้วก็ควรจะต้องแวะมาถ่ายภาพสวย ๆ ของเมืองถ้ำหินโบราณเก็บกลับไปสักหน่อย และที่สำคัญอย่าลืมแชะภาพตัวเองกับที่นี่เท่ ๆ ไว้สักใบสองใบ เพราะที่นี้หากมีเวลาเยอะ ๆ ผมว่าก็หามุมถ่ายรูปสวย ๆ ได้เยอะอยู่เหมือนกัน… อย่างผมก็มีกลับไปสักใบนึงก็พอแล้ว


• Hello!! Batumi •

…เมืองสุดท้ายที่ว่ากันว่าเป็นเมืองที่ล้ำสมัยที่สุดของประเทศจอร์เจียด้วยสถาปัตยกรรมที่ล้ำสมัย และยังเป็นเมืองพักผ่อนตากอากาศที่ขึ้นชื่อที่สุดของชาวจอร์เจียอีกด้วย… ว่าแล้วก็ไปชมความงามของเมืองบาทูมิกันได้เลย


• Discover Batumi •

…เริ่มต้นกันที่บรรยากาศยามเย็นของเมืองบาทูมิกันก่อนสักเล็กน้อย .. Batumi เป็นเหมือนเมืองพักผ่อนเมืองตากอากาศอะไรทำนองนั้นอยู่ห่างจากเมืองหลวงทบิลิซี่มาทางซ้ายมือทิศตะวันตกราว ๆ 373 กิโลเมตร ไฮไลท์สวย ๆ ของเมืองบาทูมิก็คงอยู่ที่บรรยากาศริมทะเลดำ (Black Sea) ที่อบอวลไปด้วยภาพบรรยากาศแห่งความผ่อนคลายของทั้งชาวจอร์เจียเอง และเหล่านักท่องเที่ยวที่เลือกให้เมืองนี้คืออีกจุดหมายของการเดินทาง…


• Ali & Nino Statue •

ผลงานศิลปะที่เป็นสัญลักษณ์แสดงสื่อถึงความรักที่ได้แรงบันดาลใจมาจากนวนิยายเรื่องราวความสัมพันธ์ความรักระหว่างฝ่ายชาย Ali (หนุ่มมุสลิมชาวอาเซอร์ไบจาน) และฝ่ายหญิง Nino (สาวคริสเตียนจอร์เจีย)ที่จำต้องถูกแยกจากกันด้วยเพราะพิษแห่งสงคราม.. ซึ่งหุ่นเหล็กทั้งสองนี้จะยืนอยู่ข้าง ๆ กันตลอดเวลา แต่เมื่อถึงเวลาประมาณทุ่มนึงของทุกวัน หุ่นสองตัวนี้ก็จะค่อย ๆ เคลื่อนที่เข้ามาจูบกัน.. อย่างผมเองมาทันช่วงเวลานี้พอดีก็ได้ทันเห็นหุ่นที่แสดงถึงความรักสองหุ่นนี้ค่อย ๆ ขยับมาบรรจงจูบกันอย่างช้า ๆ .. ก็ถือว่าเป็นอีกไฮไลท์เล็ก ๆ ที่หากมีเวลามาถึงที่นี่แล้วก็แวะมายืนดูสักหน่อยก็ไม่ได้เสียหายอะไร แถมยังได้ความโรแมนติคของทะเลดำที่อยู่เบื้องหน้าขับกล่อมให้รัญจวนไปอีก


• Evening at Black Sea •

…ต้องบอกว่าบรรยากาศของเมืองบาทูมินั้นดีงามมากยิ่งเป็นช่วงเย็นแบบนี้ บวกกับดีกรีความหนาวเย็นของสภาพอากาศในช่วงเดือนเมษายนที่มีลมเย็นลมหนาวพัดมาตลอด ริมทะเลดำเลยกลายเป็นที่เดินเล่นที่พักผ่อนของนักท่องเที่ยวทั้งหลาย ซึ่งผมเองก็เช่นกันที่เดินเล่นได้สักพักจากนั้นก็เตรียมเปลี่ยนบรรยากาศไปชมเมืองบาตุมิแบบสูง ๆ กันบ้าง


• After Work at 360 Sky Bar & Restaurant •

…ว่าแล้วก็ได้โอกาสขึ้นมาที่ “360 Sky Bar & Restaurant” ก็แน่นอนว่าต้องมีเครื่องดื่มเรียกความสดชื่นหลังจากที่เหนื่อยมาแล้วทั้งวันสักหน่อย.. จิบเบา ๆ แล้วก็เดินออกไปด้านนอกหามุมสวย ๆ ของ Batumi เก็บภาพสักหน่อย…


• Batumi : Before the Sun Down •

…และก็ถึงเวลาที่ความร้อนแรงของดวงอาทิตย์วันนี้คลายตัวลงไปอย่างเป็นทางการ.. จริง ๆ ก็หายร้อนไปตั้งแต่ตอนช่วงเย็น ๆ แล้วแหละ แต่ว่าพอขึ้นมาบนนี้ด้วยความที่เห็นอะไรได้ชัดเจน และกว้างใหญ่มากขึ้นเลยทำให้รุ้สึกว่าตอนนี้อากาศมันค่อย ๆ หนาวเข้าไปทุกที… จุดชมวิวด้านบนบาร์แห่งนี้ถือว่าโอเคมาก ๆ ใครที่มีโอกาสมาผมว่าน่าจะเป็นจุดที่มาชมวิวมาจิบเบียร์ลิ้มรสอาหารก็ถือว่าเป็นอะไรดีดีให้ของขวัญกับตัวเองได้ดีไม่น้อย

…2 ภาพแรกนี่ก็อยู่ที่ตอนประมาณ 19.50 น. แต่ท้องฟ้าก็ยังไม่มืดเลยเรียกว่ายังถ่ายรูปได้อยู่อย่างสบาย ๆ ก่อนที่อีกประมาณแค่ 20 นาทีก็จะเข้าสู่โหมดทไวไลท์ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินตอนสองทุ่มกว่า.. ใครเดินทางมาช่วงฤดูไหนเดือนไหนก็อย่าลืมเช็คเวลาพระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตกให้ดีนะครับ.. ก่อนสุดท้ายเสร็จสิ้นภารกิจของวันก็กลับไปนั่งจิบเบียร์เย็น ๆ แล้วก็ทรมานตัวเองต่อแต่ไม่ใช่นั่งดริ๊งก์อยู่ด้านบนนี้นะ.. ส่วนที่่ว่าทรมานตัวเองก็คือไม่ยอมอยู่ในโรงแรม(คือกลับเข้าไปแล้วแต่ออกมาอีกรอบ) เพราะอยากมีเวลานาน ๆ อยากเดินเล่นซึมซับบรรยากาศดี ๆ ก็หาเรื่องมาเดินเล่นที่ริมทะเลดำนี่แหละ .. ผลลัพธ์ที่ได้นอกจากความสุขก็คือหน้าชาลิ้นชาไปเป็นระยะ ๆ ก่อนจะกลับเข้าโรงแรมไปในที่สุด


• Next Day at Batumi •

…วันถัดมาก็ใช้เวลาไปกับการเดินเล่นไปตรงนั้นตรงนี้สำรวจเมืองไปด้วยพกกล้องพกเลนส์ไปด้วยเดินถ่ายรูปจนได้เรื่อง… ที่ว่าได้เรื่องก็ถือโอกาสเล่าไว้เป็นวิทยาทานสักหน่อยแล้วกันเผื่อใครที่จะเดินทางไปมาอ่านเจอเข้า.. เรื่องมันมีอยู่ว่าคือผมก็จะสะพายเป้แล้วก็สะพายกล้องอยู่ตลอดทุกวันตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ก็ 4-5 วันแล้วไปมาเมืองแล้วเมืองเล่าก็ไม่มีอะไร (แต่เวลาเดินก็จะคอยระวังตัวตลอด) เมืองนี้ก็เช่นกันที่ผมก็ยังระวังเหมือนเดิม แต่ก็มิวายเจอเข้ากับพวกเด็กเร่ร่อนที่อยู่ข้างถนนมาเกาะแกะ ..ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าผมเดินมาด้วยกับทีมงานเป็นกลุ่มใหญ่แต่มีผมคนเดียวที่สะพายเป้และกล้อง พอจังหวะที่ผมยกกล้องขึ้นถ่ายภาพก็เป็นจังหวะเดียวกับที่มีเด็กตัวเล็ก ๆ วิ่งมาเกาะขาผมพร้อมแบมือขอเงิน.. ไอ้ผมเองก็เลยพยายามที่จะสลัดให้น้องเลิกเกาะแกะที่ขาผม แต่ด้วยความที่กลัวจะเหวี่ยงขารุนแรงไปจนอาจเลยเถิดให้เป็นเรื่องราวใหญ่โตก็เลยทำให้สลัดยังไงก็ไม่หลุด จากนั้นก็มีเด็กตัวเล็ก ๆ ก๊วนเดียววิ่งกรูเข้ามาอีก 2-3 คน .. เบ็ดเสร็จตอนนี้เด็ก 4 คนรุมเกาะแข้งเกาะขาผมรอบตัวเรียบร้อย.. 

…โชคดียังเป็นของผมที่การเดินทางครั้งนี้ทีมงานเรามีไกด์ท้องถิ่นมาด้วยจึงรีบวิ่งเข้ามาตะโกนดุใส่เด็กเหล่านั้นจนเด็กกลัวและก็วิ่งหนีไปในที่สุด… ก็เป็นอันว่าไม่มีการเจ็บตัว และไม่มีข้าวของสูญหายไปแต่อย่างใด.. ก่อนที่ผมจะถามไกด์ท้องถิ่นว่าที่นี่มีแบบนี้ด้วยหรือ และไกด์ก็ตอบมาว่าก็มีบ้างแต่จังหวะคุณอาจจะเผลอไปเลยไม่ทันระวังตัวเพราะปกติเด็กพวกนี้จะไม่ใช่พวกวิ่งราวหรือพวกโจมตีน่ากลัว ..ผมก็เลยนึกขึ้นได้ว่าอืมก็น่าจะจริงเพราะตลอดเวลาที่เดินมาก็เห็นเด็กลักษณะแบบนี้นั่งกันอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ดูมีพิษภัยอะไร แต่คงเป็นจังหวะเสี้ยวเดียวที่ผมกล้องขึ้นมาค้างจนกล้องปิดหน้าเลยเป็นจุดบอดให้มองไม่เห็นว่าเด็กวิ่งเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่…


• Alphabetic Tower •

…นี่คืออีกหนึ่งไฮไลท์ของเมือง Batumi “ตึกตัวอักษร Alphabetic Tower” คงไม่ต้องบอกที่มาที่ไปของชื่อตึกนี้เพราะถึงให้อ่านภาษาจอร์เจียไม่ออกแต่ก็น่าจะรู้ได้เลยว่าเป็นตึกที่มีตัวอักษรเรียงกันอยู่รอบตึกอย่างที่เห็น ส่วนตัวรูปทรงนั้นก็ออกแบบดีไซน์ออกมาในลักษณะเหมือนโครงเหล็กซะมากกว่าที่จะเป็นตึกแน่น ๆ ที่ชั้นบนเมื่อขึ้นมาแล้วก็มีมุมกาแฟ มุมนั่งเล่น และแน่นอนว่าด้วยการออกแบบดีไซน์แบบล้ำสมัยทำให้เราสามารถถ่ายรูปเล่นกับแสงกับเงาได้มากมายหลายมุม.. แต่การจะมองออกไปด้านนอกแล้วถ่ายรูปนั้นไม่เวิร์คสักเท่าไหร่เพราะเป็นกระจกล้อมไว้หมดทำให้ถ่ายยังไงก็ต้องผ่านกระจกเท่านั้น… 


• Batumi : Las Vegas of the Black Sea •

…เมืองบาทูมิเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศจอร์เจีย ตั้งอยู่ชายฝั่งติดกับทะเลดำเป็นเมืองที่อยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ ที่เมืองบาทูมิจากที่ได้มีโอกาสอยู่ถึง 2 วันก็เห็นได้ว่าสมกับคำร่ำลือที่ว่าเป็นเมืองที่ทันสมัยที่สุดของจอร์เจียจริง ๆ เพราะหากเทียบกับเมืองหลวงอย่างทบิลิซี่.. ที่เมืองบาทูมินี่ก็ยังมีภาพรวมที่ดูล้ำไปกว่ามาก ไม่ว่าจะเป็นตึกอาคารสูง ๆ รวมไปถึงร้านค้า ร้านอาหาร โรงแรมที่มีอยู่มากมาย รวมไปถึงแหล่งเอนเตอร์เทนแสงสีเสียงต่าง ๆ ที่ดูแล้วเหมาะสมกับที่ได้รับการขนานนามให้เห็นภาพชัด ๆ ว่านี่คือ “ลาสเวกัสแห่งทะเลดำ” 


• See You Later, Georgia •

…และแล้วเวลาของจอร์เจียก็ค่อย ๆ หมดลงไปอย่างช้า ๆ .. ถึงเวลาต้องกลับแล้วหลังจากวันแรกที่ทบิลิซี่จนถึงวันสุดท้ายก็ 7 วันเต็ม ๆ ผ่านไปเมืองนั้นเมืองนี้ เห็นผู้คน วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ สิ่งก่อสร้าง สถาปัตยกรรม ศิลปะ รสชาติของอาหาร สถานที่สวย ๆ และอื่น ๆ อีกมากมายต้องบอกว่าเป็นการเปิดโลกทรรศน์อีกครั้งที่รู้สึกว่าคุ้มค่า และโชคดีมากที่ได้เดินทางมาที่ประเทศนี้.. อย่างน้อยก็คืออีกหนึ่งประเทศที่ได้จดไว้กับตัวเองว่าเราก็เคยได้มาเห็นมารับประสบการณ์ใหม่ ๆ บนดินแดนแห่งเทือกเขาคอเคซัสแห่งนี้… 

…แน่นอนว่านี่ก็คืออีกหนึ่งในประเทศที่หากมีคนถามว่าอยากมาอีกไหม ผมก็คงไม่ปฏิเสธและรีบตอบไปว่ายังอยากกลับมาอีก และอยากมีเวลาให้นานกว่านี้… หวังว่าสักวันคงได้กลับมาอีกจริง ๆ ก็แล้วกัน 

Facebook Comments
Please follow and like us:
20