…ชื่อเสียงของประเทศรัสเซียนั้นเป็นที่รู้จักกันดีถึงความยิ่งใหญ่ในแง่มุมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอาณาเขตพื้นที่ที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลก ความงดงามอลังการของสถาปัตยกรรม และศิลปะที่ไม่แพ้ชาติไหนในโลก

…ความหลากหลายทางธรรมชาติที่มีอยู่มากมาย และความสวยงามเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของเมืองต่าง ๆ ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้ประเทศนี้กลายเป็นสถานที่ในฝันของใคร ๆ หลายคน

…กรุงมอสโคว์ และมหานครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก คือ 2 เมืองหลักของอัลบั้มนี้ที่ผมจะพาเพื่อน ๆ มาชมความสวยงามกัน แต่จะแค่ 2 เมืองก็เกรงว่าจะน้อยไปการเดินทางครั้งนี้ยังเพิ่มเติมด้วยเมืองสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่มีเสน่ห์อย่าง Vladimir, Suzdal, Zagorsk ที่อยู่รอบนอกวงแหวนของกรุงมอสโคว์ ซึ่งเราจะไปดูกันว่าสวยงามแค่ไหน ส่วนในเรื่องของช่วงวันเวลาเดินทางถ้าใครอยากเที่ยวแบบเต็ม ๆ เที่ยววันต่อวันได้นาน ๆ ต้องเป็นช่วงนี้เลยกับ “ช่วงเทศกาล White Nights Festival” ที่อยู่ในราวเดือนพฤษภาคม – กรกฎาคมของทุกปี .. เหตุผลที่ผมแนะนำช่วงนี้น่ะหรือตามต่อไปนี้เลย

  1. ช่วงเทศกาล White Nights คือช่วงที่ระยะเวลาที่แดดออกส่องแสงให้เราเที่ยวได้สบายนั้นจะยาวนานกว่าปกติ (กรุงมอสโคว์ฟ้าจะมืดประมาณเกือบ ๆ 4 ทุ่มกันเลย เพราะขนาดตอนสองสามทุ่มยังเหมือนบ้านเราตอนห้าโมงเย็น ส่วนที่เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กนั้นยิ่งแล้วกว่า บางคืนกว่าแสงจะหมดปาเข้าไปเกือบตี 1 ตี 2 .. มิหนำซ้ำแดดออกตอน 6 โมงเช้า .. โอ้ว !!! แม่เจ้า นี่เรามีเวลาเที่ยวกันถึงเกือบ 20 ชั่วโมงต่อวันเลยหรือนี่
  2. อย่างที่บอกไปว่าช่วงเวลาที่แดดออกทำให้เรามีเวลาในการเที่ยวแต่ละที่ได้ยาวนานมากขึ้นจากเวลาเดิม ๆ ที่เราคุ้นชิน เราก็จะได้เสพบรรยากาศอะไรต่อมิอะไรได้มากขึ้น (และก็อาจทำให้เที่ยวจนเหนื่อยกันไปเลย 555) จริง ๆ ช่วงประมาณเดือนพฤษภาคมนั้นจะยังอยู่ในช่วงปลายของฤดูใบไม้ผลิเพื่อที่จะเข้าหน้าร้อนตั้งแต่มิถุนายน ถึงประมาณสิงหาคม .. แต่ไม่ต้องกลัวไปครับเพราะหน้าร้อนที่นี่อากาศก็ยังเย็นสบายสำหรับคนไทยเรา อย่างผมไปช่วงกลางเดือนกรกฎาคมอากาศกลางวันก็อยู่ที่ประมาณ 20 กว่าองศา หรือถ้าอากาศจะหนาวก็ยังเย็นได้ถึง 10 กว่าองศาก็ยังรู้สึกได้ ..ดังนั้นหายห่วงเรื่องสภาพอากาศ.. (ขอสอดแทรกช่วงเวลาภาพของฤดูกาลให้เห็นกันชัด ๆ อีกสักนิด)
  • ธ.ค.-ก.พ. = ฤดูหนาว (อุณหภูมิประมาณ -10 องศา)
  • มี.ค-พ.ค. = ฤดูใบไม้ผลิ (อุณหภูมิประมาณ 5 องศา)
  • มิ.ย.-ส.ค. = ฤดูร้อน (อุณหภูมิประมาณ 15 องศา)
  • ก.ย.-พ.ย. = ฤดูใบไม้ร่วง (อุณหภูมิประมาณ 10 องศา)

…ผมว่าแค่ 2 เหตุผลหลักนี้ก็น่าจะเพียงพอต่อการตัดสินใจเดินทางของเราแล้วว่าเราจะคุ้มค่าแค่ไหนหากเดินทางมาในช่วงนี้ ซึ่งภาพในอัลบั้มนี้ก็จะเป็นช่วงการเดินทางของผมกับทางบริษัทนำเที่ยว We Are Wanderlust ใครสนใจติดตามได้ที่ www.wearewanderlusttravel.com หรือที่หน้าเพจ https://www.facebook.com/Wearewanderlusttravel ใครสนใจทริปดีดีเจ๋ง ๆ เท่ ๆ ไปตามกดไลก์กันได้เลย ที่นี่เค้าจัดแต่ละที่พีค ๆ แล้วเที่ยวกันแบบเต็ม ๆ ทุกทริปจริง ๆ

…ก่อนจะไปชมภาพและเรื่องราวต่าง ๆ ขอเริ่มต้นด้วยข้อมูลเล็กน้อยก่อนเดินทางกันสักนิดนะ เพื่อความเข้าใจ และการเตรียมตัวเดินทางมุ่งหน้าสู่รัสเซีย

  • วีซ่า และพาสปอร์ต 

…สำหรับผู้ที่มีจุดประสงค์จะเดินทางท่องเที่ยวไปยังรัสเซียที่มีพาสปอร์ตไทย เราไม่ต้องขอวีซ่านะครับ แต่เราจะสามารถเที่ยวได้ไม่เกิน 30 วัน.. ส่วนจุดประสงค์อื่น เช่น เรียนต่อ ทำธุรกิจ ทำงาน อันนี้ต้องขอเป็นกรณี ๆ ไป

  • เวลา 

…ตั้งแต่เดือนเมษายน – เดือนตุลาคม เวลาที่มอสโคว์ และเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กจะช้ากว่าเวลาที่ประเทศไทย 3 ชั่วโมง และตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน – มีนาคม จะช้ากว่าบ้านเรา 4 ชั่วโมง (ดังนั้นใครจะไปช่วง White Nights ก็อย่าลืมปรับให้เป็นช้ากว่าเรา 3 ชั่วโมงพอนะ)

  • สกุลเงิน 

…ที่รัสเซียใช้สกุลเงิน รูเบิล (ruble: RUR) โดยมีอัตราแลกเปลี่ยน 1 RUR เท่ากับประมาณ 1.40 บาทไทย (ตีไปก็ 1 บาท 50 สตางค์)

  • ภาษา 

…ชาวรัสเซียส่วนใหญ่ก็จะพูดภาษารัสเซียกัน ส่วนภาษาอังกฤษพูดกันไม่ค่อยได้จะมีที่พูดได้ดีก็จะเป็นคนที่ทำงานด้านการบริการอย่างโรงแรม ท่องเที่ยว ร้านขายของนักท่องเที่ยว

  • ระบบไฟฟ้า 

…อันนี้จะเท่าบ้านเราคือ 220 โวลต์ แต่ปลั๊กจะเป็นแบบรูกลม 2 ขา (บ้านเราจะมีทั้งรูกลม แล้วก็แบบแบน ๆ) ดังนั้นก็ควรเตรียม Adaptor ไปให้พร้อม

  • ข้อควรระวังเพิ่มเติม 

…อันนี้บอกไว้ก่อนว่าไม่มีที่ไหนในโลกล้วนปลอดภัย ดังนั้นการเดินทางสำหรับผมไม่ว่าจะไปที่ไหนในโลกก็ตามควรเพิ่มความระมัดระวังเข้าไปกว่าปกติให้มากขึ้น ที่นี่ก็เช่นกันอย่างเมืองใหญ่ ๆ ที่ผู้คนพลุกพล่าน มักจะมีมิจฉาชีพแฝงตัวอยู่เยอะ .. เราเองก็ไม่ควรเดินไปไหนมาไหนคนเดียว ไม่ถือของให้เป็นที่ประเจิดประเจ้อ .. ส่วนเทคนิคของผมคือ “รักษาระยะห่าง 1 เมตร” ไม่ให้ใครเข้าใกล้ คือใครเดินมาใกล้ผมจะเดินเลี่ยงให้เรามีพื้นที่รัศมีวาดออกไปเป็นวงกลมประมาณ 1 เมตร.. อาจดูหลอนระแวงไปหน่อย แต่ผมใช้เทคนิคทุกครั้งที่เดินทางไปต่างประเทศ เว้นแต่บางที่ที่เลี่ยงไม่ได้เช่น บนรถไฟ รถไฟฟ้า รถประจำทาง อันนี้ก็ต้องระวัง ๆ กัน

…สำหรับใครที่เปิดมาอ่านมาเจอรีวิวอัลบั้มนี้หากอยากได้ข้อมูลก็คิดซะว่าอ่านกันเพลิน ๆ นะครับ  โดยจะพยายามสอดแทรกสาระไว้สักนิด บรรยายเรื่องถ่ายภาพไปสักหน่อยว่าสถานที่ไหนผมเก็บภาพมาด้วยเลนส์อะไร อุปกรณ์ไหน .. เพราะผมเชื่อว่าหลาย ๆ คนไปที่นี่ก็เพื่ออยากเก็บภาพสวย ๆ กัน ส่วนอุปกรณ์ที่ผมพกแบกไปครั้งนี้ก็จัดเต็มอยู่ 555 ได้แก่

  • Nikon D750 – ตัวนี้โปรดมากเพราะมี Wi-Fi Built In ในตัว โหลดรูปลงมือถืออัพได้ทันใจ
  • 14-24 mm f/2.8G ED – เลนส์มุมกว้างจำเป็นหากจะมารัสเซีย เพราะพระราชวัง และสถาปัตยกรรมสวย ๆ เพียบ จะสะดวกต่อการเก็บภาพให้ครบทุกองศา
  • 35 mm f/1.4G, 58 mm f/1.4G – 2 ตัวนี้ไว้ถ่ายภาพคนภาพลูกค้าที่มาเที่ยวด้วยกัน ให้ภาพสวยแต่เลนส์ระยะเดี่ยวก็ต้องขยันเปลี่ยนหน่อย
  • 70-200 mm f/2.8E FL ED VR – เลนส์เทเลที่จะขาดไม่ได้เอาไว้ซูม ไว้เจาะเก็บบรรยากาศตามท้องถนน เพลินมาก แม้อาจจะหนักไปสักนิด แต่คุณภาพล้นเหลือ

…สรุป ผมว่าเอาเลนส์มุมกว้างสักตัว แล้วก็ช่วงนอร์มอลอีกสักตัวก็น่าจะพอ ส่วนเทเลซูมนี่แล้วแต่เลยว่าใครชอบ แล้วอยากแบกมาเพิ่มหรือไม่ สำหรับผมนั้นคุ้มที่แบกมา

…การเดินทางนั้นเริ่มต้นที่สนามบินสุวรรณภูมิ 10.45 น. สเตปแรกแวะต่อเครื่องที่ Almaty Airport ประเทศคาซัคสถานโดยถึงประมาณ 16.45 น. จากนั้นรอเวลาต่อเครื่อง 19.15 น. เพื่อเดินทางมุ่งหน้าสู่กรุงมอสโคว์ เป็นสเตปต่อไปโดย ถึงเวลาประมาณ 21.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น .. เบ็ดเสร็จนับทุกชั่วโมงนาทีจนถึงมอสโคว์ก็ประมาณเกือบ ๆ 12 ชั่วโมง…

…Sparrow Hill หรือ Lenin Hill

…จุดชมวิวแรกที่ผมจะพาไปชมกันคือ Sparrow Hill หรือ เลนินฮิลล์ (เป็นสถานที่ที่ เลนิน ผู้นำคอมมิวนิสต์รัสเซียในอดีตเคยใช้เป็นที่พักอาศัย) เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวชมยอดนิยมของนักท่องเที่ยว และชาวรัสเซียด้วยกันเอง ซึ่งเนินเขานี้จะอยู่ทางฝั่งขวาของแม่น้ำมอสโคว์  โดยเราสามารถเห็นได้ทั้งตึกอาคารสูง สนามกีฬา และวิวกว้าง ๆ ของมอสโคว์ นอกจากนี้ก็ยังเป็นบริเวณพักผ่อนเดินเล่นของชาวเมืองอีกด้วย เพราะอยู่บนเนินนี้ลมพัดเย็นสบายแม้ในเวลาสาย ๆ ตามในภาพ

…และบริเวณใกล้กันก็ยังเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยมอสโคว์ที่สวยงาม และเป็นอีกจุดที่ใครแวะมา Sparrow Hill ก็จะต้องแวะมาถ่ายรูปที่หน้ามหาลัยนี้ด้วยเช่นกัน

…Christ the Savior : วิหารโดมทองคำ

…จุดต่อมาซึ่งอยู่ห่างจาก Sparrow Hill ประมาณไม่ถึง 10 กิโลเมตร และเป็นจุดชมวิวเดินเล่นยอดฮิตอีกเช่นกันก็คือที่ “วิหารโดมทอง : Christ the Savior Church” เป็นวิหารที่ใหญ่ที่สุดในรัสเซีย และยังเป็นโบสถ์ Orthodox ที่สูงที่สุดในโลก ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ Moskva (เห็นคำภาษาอังกฤษสะกดคำนี้ พอคุ้น ๆ มั้ยครับ สำหรับใครที่เคยฟังเพลงดังในอดีตของวง Scorpions” ที่เริ่มต้นเพลงด้วยท่อนที่ว่า “I follow the Moskva down to Gorky Park.. Listening to the wind of change” แน่นอนว่านี่คือบทเพลงอมตะ “Wind of Change” ที่ Klaus Meine นักร้องนำของวงได้แต่งขึ้นตอนเดินเล่นอยู่ริมแม่น้ำมอสโคว์ หรือ มอสควา นี่แหละครับ

…ภายนอกก็เดินเล่นถ่ายภาพกันให้เต็มที่ ใครมีเลนส์กว้างก็เก็บได้ง่ายสบายหน่อย เก็บมุมของวิหารโบสถ์เสร็จแล้วก็เปลี่ยนเอาเทเลซูมไปถ่ายเล่นตรงราวสะพานเห็นแม่น้ำ Moskva กันยาว ๆ ไปเพลินอุรายิ่งนัก

  • การเดินทาง : อยู่ไม่ไกลจากจตุรัสแดงสามารถเดินไปได้ หรือ นั่งเมโทรจากแถวจตุรัสแดงไป 1 สถานี ลงที่ Kropotkinskaya

… St. Basil’s Cathedral และ Red Square

…เป็นไปไม่ได้ที่มามอสโคว์แล้วจะไม่มาที่นี่กับภาพบริเวณ “จัตุรัสแดง (Red Square)” ศูนย์กลางของกรุงมอสโคว์ ที่มีความสวยงามและความอลังการอยู่ทุกหนแห่งที่สายตาเรามองออกไปทั้ง พระราชวังเกรมลิน โบสถ์ ห้างสรรพสินค้า ลานกว้าง ซึ่งทุกที่เดินไปเดินมาเชื่อมกันทั้งหมด ซึ่งภาพที่เป็นไฮไลท์ และเป็นเอกลักษณ์แบบสุด ๆ ที่ใคร ๆ ก็ต้องเคยเห็นคงหนีไม่พ้นภาพของยอดโดมสีสันสวยงามฉูดฉาดของ “มหาวิหารเซนต์เบซิล (St. Basil’s Cathedral) ที่เราจะได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่อลังการกับตาเราเอง

…และอีกหนึ่งอาคารที่อาจไม่ได้เกี่ยวกับความสวยงามเท่าไหร่นัก แต่ก็เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวนั่นก็คือ GUM Department Store (ห้างสรรพสินค้ากุม) ห้างสรรพสินค้าที่มีชื่อเสียง และยอดฮิตของนักท่องเที่ยวที่แวะมาบริเวณนี้เพราะเต็มไปด้วยร้านค้ามากกว่า 200 ร้าน

  • การเดินทาง : ขึ้นรถไฟใต้ดินสายสีแดง มาลงที่สถานี Okhotny Ryad ออกจากสถานีจะเจอจตุรัสแดงอยู่ด้านหน้า หรือขึ้นสายสีเขียวมาลงที่สถานี Teatralnaya จากสถานีเดินเลี้ยวตรงหัวมุมจะเจอจตุรัสแดง

…มาถึงอีกหนึ่งไฮไลท์ของการมาเยือนกรุงมอสโคว์ ก็ขึ้นการขึ้นรถไฟใต้ดินที่จะเปลี่ยนภาพของรถไฟใต้ดินที่คุณเคยเจอมาแน่นอน เพราะที่นี่แต่ละสถานีก็จะออกแบบตกแต่งบริเวณชานชาลา และภายในไว้อย่างงดงามวิจิตรตระการตา ต้องใช้คำนี้จริง ๆ คือผมว่าถ้าใครมีเวลามากพอมาจัดถ่ายภาพพอทเทรทอัลบั้มที่นี่ซักเซ็ทยังได้สบาย ๆ เลย…

…Arbat Street

…ผ่านไปกับความยิ่งใหญ่ของสถาปัตยกรรมเจ๋ง ๆ มาเดินช๊อปปิ้งชมบรรยากาศของผู้คนที่ตลาดกันบ้างกับย่านถนนอาบัด (Arbat Street) ถนนคนเดินที่ตั้งอยู่ใจกลางของศูนย์กลางประวัติศาสต์มอสโก โดยตลอดเส้นทางถนนแห่งนี้เราก็จะเดินชมเมือง บรรยากาศของตึก และร้านค้าตลอดสองข้างทางได้พร้อมกับสินค้าที่ขายอยู่ในร้านต่าง ๆ จำนวนมากมาย ซึ่งก็มีทั้งของที่ระลึก งานศิลปะ ร้านกาแฟ ร้านเสื้อผ้า จิตรกรวาดรูป ร้านขายอุปกรณ์ ร้านหนังสือ และทุกสิ่งทุกอย่างต้องบอกว่าเยอะมากจริง ๆ กับระยะทางเบา ๆ ประมาณ 1 กิโลเมตร ..

…Arbat Street ถือว่าเป็นถนนเส้นประวัติศาสตร์อีกเส้นหนึ่งที่มีความเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในรัสเซียเลยก็ว่าได้ นี้มีความเป็นมายาวนาน และถือเป็นถนนที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของรัสเซีย เคยถูกทำลายไปใชช่วงศตวรรษที่ 18 แต่มีการซ่อมแซมขึ้นมาใหม่

…ใครที่ตั้งใจมาเดินช๊อปก็ช๊อปไป ส่วนใครตั้งใจจะมาเก็บภาพบรรยากาศถนนคนเดินที่สะอาด ๆ ในวันที่อากาศดี ๆ ผมว่าติดเลนส์มาตัวเดียวก็พอครับ เดินสตรีทถ่ายง่าย ๆ เบา ๆ ก็เลือกเอาว่าจะใช้เลนส์ระยะไหนตามถนัด…

  • การเดินทาง : รถไฟใต้ดินที่สถานี Arbatskaya

…Izmailovsky Market (Izmailovo Market)

…ยังคงวนเวียนอยู่กับแหล่งช๊อปปิ้งลำดับต่อไปอีกสักที่ซึ่งบรรยากาศก็จะแตกต่างไปจาก Arbat Street ราวฟ้ากับเหว เพราะที่นี่จะเป็นตลาดแบบจริงจังเลยแต่ก็จะมีร้านกาแฟ ร้านอาหารรวมอยู่ในพื้นที่ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ที่ตลาด Izmailovo นี้ว่ากันว่าเป็นตลาดขายของที่ระลึกที่ถูกที่สุดในเมืองมอสโคว์อีกด้วย ตลาดนี้เปิดทุกวันแต่ถ้าใครมาเสาร์ อาทิตย์ตั้งแต่ 10.00 – 17.00 น. ก็จะเจอสินค้าวางขายเยอะกว่าทุกวันหน่อย..

…สินค้าที่มีก็แน่นอนไม่พ้นของที่ระลึกโดยเฉพาะ “ตุ๊กตาแม่ลูกดก” ที่เป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ รวมทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า นาฬิกา สารพัดสิ่งเดินไปกินไปได้สบาย .. เวลาเดินไปพ่อค้าแม่ค้าก็จะทำหน้าบึ้งใส่เรากันหมด 555 อย่าได้คิดมากไปครับ คนรัสเซียเป็นแบบนี้กันทั้งนั้นเพราะลักษณะนิสัยของชาวรัสเซียจะไม่ยิ้มให้คนแปลกหน้า คือถ้าอยู่ดีดียิ้มให้นี่อาจเริ่มหวั่นใจว่าจริงใจกับเรามั้ย แต่ถ้าเค้าไม่ยิ้มให้นี่ถือว่าปกติ.. ผิดกับบ้านเรายิ้มง่ายยิ้มเก่งยิ้มแสร้ง ๆ ไปดราม่าไปก็มี 555 เอาเป็นว่าแต่ถ้าจะได้ซื้อได้ลองคุยเจรจาต่อรองเค้าก็จะคุยจะยิ้มกับเราแล้วแหละ..

  • การเดินทาง : รถไฟใต้ดินลงสถานี Partizanskaya

…Korston Hotel..

…ผ่านไปกับสถานที่ท่องเที่ยว และจุดที่น่าสนใจต่าง ๆ ของกรุงมอสโคว์มาต่อกันที่ภาพของโรงแรมที่ทาง We Are Wanderlust Travel จัดเต็มให้กับลูกค้าก็คือที่ Hotel Korston Moscow โรงแรมระดับ 4 ดาว มีสวนสาธารณะ Gorky Park อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ถัดไปก็จะเป็น Sparrow Hill ที่เราได้ไปเที่ยวกันมาแล้วนั่นเอง

…บรรยากาศภายในโรงแรมนี้ก็จะดูคึกคักเป็นพิเศษหน่อย เพราะมีทั้ง Lounge Bar ห้องคาราโอเกะ สีสันเลยฉูดฉาดอย่างที่เห็นภาพ.. เอาเป็นว่าใครที่มามอสโคว์แล้วอยากนอนที่สบาย ๆ ผมว่าที่นี่ก็น่าสนใจไม่น้อย

…สถานที่ต่อไปเราจะออกจากกรุงมอสโคว์ไปยังแถบที่เรียกกันว่า “Golden Ring” ซึ่งคือเมืองที่อยู่แถบนอกวงแหวนทองคำของรัสเซียซึ่งประกอบไปด้วยเมืองโบราณที่สำคัญ 8 เมือง ได้แก่ Vladimir, Suzdal, Ivanovo, Kostroma, Yaroslavl, Great Rostov, Peresslavl Zalessky และ Sergiev Posad(Zagorsk).. เขตพื้นที่ Golden Ring คือเขตชานเมืองของกรุงมอสโคว์ที่มีรูปคล้ายเกือกม้า ซึ่งเปรียบเหมือนสัญลักษณ์แห่งความโชคดีของรัสเซีย และยังได้ถูกจัดตั้งให้เป็นเขตมรดกทางวัฒนธรรม และสถาปัตยกรรมของรัสเซียยุคโบราณอีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าหลายเมืองอาจเป็นเมืองที่ไม่ค่อยคุ้นหูเราคนไทยนัก เพราะไม่ค่อยมีคนเดินทางไปแต่กับ We Are Wanderlust Travel จัดให้ครับ โดยจิ้มไปที่ 3 เมืองที่มีสถาปัตยกรรมอลังการ ๆ และมีเสน่ห์น่าค้นหา พร้อมกับวิวสวย ๆ ซึ่งเราจะไปกันที่ Vladimir, Suzdal และ Sergiev Posad(หรือ Zagorsk ชื่อในปัจจุบัน)

…Trinity Lavra of St.Sergius : Sergiev Posad(Zagorsk)

…เริ่มต้นกันที่เมือง Sergiev Posad กับโบสถ์ Trinity Lavra of St. Sergius ที่ตั้งอยู่ห่างจากกรุงมอสโคว์ประมาณ 70 กิโลเมตร ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมถึงต้องมาที่นี่สั้น ๆ เลยก็เพราะว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมือง Sergiev Posad หรือ Zagorsk นี้ที่สุดแล้ว ..จุดเด่นของโบสถ์แห่งนี้ก็คือยอดโดมทองคำทั้ง 5 โดมที่โดดเด่นตระหง่านเห็นได้แต่ตั้งอยู่ไกล ๆ และภายในบริเวณโบสถ์ที่กว้างขวางมีมุมถ่ายภาพสวย ๆ อยู่มากมายหลายมุม..

…เลนส์ไวด์จำเป็นมากเลยครับที่นี่เพราะสถานที่นั้นใหญ่ หากอยากเก็บให้ได้ครบ ๆ ในภาพเดียวก็จะทำได้ไม่ยาก.. ส่วนบรรยากาศภายในโบสถ์นี้ก็สามารถเดินเล่นได้ตามโซนต่าง ๆ มีทั้งที่เป็นในโบสถ์(แต่ผมไม่ได้เข้า) แล้วก็ยังมีคริสตศาสนิกชนมาพรมน้ำมนต์ทำพิธีกันเยอะแยะมากมาย แน่นอนว่าความสวยงามโดยรวมนั้นบอกได้เลยว่าสวย และอลังการยิ่งใหญ่มาก..

…บรรยากาศภายนอกโบสถ์บริเวณหน้าทางเข้าก็มีรถเข็นขายของ ร้านค้าขายของที่ระลึก มีสนามหญ้ามีบ้านเรือนของผู้คนที่นี่ให้เราได้เดินถ่ายรูปเล่นกันเพลิน ๆ อีกด้วย..

  • การเดินทาง : หากมาทางรถไฟ จะใช้เวลาประมาณ 1.30 ชั่วโมง โดยขึ้นที่สถานี Yaroslav กรุงมอสโคว์ ให้เขียนบอกคนขายตั๋วว่า “Сергиев Посад” ส่วนขากลับก็ขึ้นรถที่สถานีที่ไปลง โดยเขียนบอกคนขายตั๋วว่า “Москва Ярославский вокзал” รถออกทุกครึ่งชั่วโมง … เมื่อมาถึงเมืองเดินอีกนิดนึงถามทางเอาก็เจอโบสถ์นี้แล้ว

… Assumption Cathedral : Vladimir…

…จากนั้นเดินทางมาต่อกันที่เมือง Vladimir อดีตเมืองหลวงเก่าของรัสเซียเพื่อไปพบกับ “โบสถ์อัสสัมชัญ (Assumption Cathedral)” ซึ่งนับว่าเป็นโบสถ์ที่มีความสำคัญต่อประเทศรัสเซียอีกแห่ง เพราะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้สำหรับการจัดพิธีราชาภิเษกของกษัตริย์ทุกพระองค์

…ความสวยงามของโบสถ์แห่งนี้อีกอย่างก็คือบรรยากาศรอบ ๆ นี่แหละ เพราะจากบริเวณโบสถ์ที่เรายืนอยู่บนเนินตรงนี้ เมื่อมองออกไปก็จะเห็นวิวทิวทัศน์สวย ๆ กว้าง ๆ ของเมือง Vladimir อีกด้วย

…อีกสักนิดกับภาพบริเวณรอบ ๆ โบสถ์ยามเย็น ลมพัดเดินสบายท่ามกลางอุณหภูมิประมาณ 20 องศา บอกได้คำเดียวว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมมาก อากาศดี ไม่มีฝน ฟ้าสวย ลมเย็น.. นี่ขนาดแค่อยู่แถบกรุงมอสโคว์ยังขนาดนี้ ถ้าขึ้นเหนือไปถึงยัง St.Petersburg คงยิ่งฟินกว่านี้แน่นอน.. เริ่มอดใจรอไม่ไหวแล้วสิ

… Hotel Pushkarskaya Sloboda : Suzdal…

…เตรียมส่งท้ายก่อนออกจากกรุงมอสโคว์ด้วยอีกหนึ่งเมืองซึ่งยังอยู่แถบเขต Golden Ring อย่างเมือง Suzdal.. และโรงแรมที่เราได้พักสุดน่ารัก และสวยงามมากก็คือ “Hotel Pushkarskaya Sloboda” คือจะว่าโรงแรมก็ไม่ถูก เพราะไม่มีความรู้สึกเหมือนโรงแรมเลยแต่กลับรู้สึกเหมือนอยู่ในหมู่บ้านที่ไหนสักที่ เพราะพื้นที่อันกว้างขวาง มีพื้นที่ให้เดินเล่นเพลิน ๆ และทีสำคัญมุมสวย ๆถ่ายรูปอีกเพียบ… ใครที่มาเมือง Suzdal ผมว่าใส่ชื่อโรงแรมในลิสท์แล้วจองมานอนเถอะ คุ้มค่าจริง ๆ

…Museum of Wood Architecture : Suzdal…

…”พิพิธภัณฑ์สถาปัตยกรรมไม้แห่งซูสดัล” ปกติโดยมากพอเราเอ่ยคำว่าพิพิธภัณฑ์ก็จะนึกถึงภาพตึก ห้อง อาคารที่เก็บรวบรวมสิ่งของ เรื่องราวต่าง ๆ ไว้เป็นห้อง ๆ เป็นสัดเป็นส่วน แต่ที่นี่ไม่ใช่เลยเป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งโดยมีพื้นที่กว้างใหญ่ นอกจากจะเดินชมตามบ้านไม้ตามโซนที่แบ่งไว้แล้วก็ยังถ่ายรูปเล่นได้แทบทุกมุม.. โดยเรื่องราวก็จะอยู่ที่วิถีชีวิตการสร้างบ้านด้วยไม้ การใช้ไม้ประกอบเพื่อสร้างบ้าน สร้างสิ่งต่าง ๆ ตั้งแต่ในสมัยอดีตว่าเริ่มต้นการสร้างกันอย่างไร สร้างเพื่ออะไร

…จุดน่าสนใจก็คือแทบจะทุกอย่างในพิพิธภัณฑ์นี้ก็จะสร้างด้วยไม้แทบทั้งสิ้น เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเดินชมกันเพราะนอกจากจะได้เหมือนเดินเล่นในสวนเขียว ๆ แล้วยังเห็นถึงบ้าน ถึงรูปทรง ดีไซน์อันสวยงามที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนที่ไหน.. หากใครมาที่เมือง Suzdal แล้วก็ไม่ควรพลาดนะครับ

…Suzdal Kremlin…

… “พระราชวังซูสดัลเครมลิน” คืออีกหนึ่งสถานที่ที่น่าสนใจของเมืองนี้ที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ราวปลายศตวรรษที่ 12 ตัวอาคารผนังสีขาวปูนโดดเด่นด้วยโดมสีน้ำเงิน ความสวยงามจะยิ่งบังเกิดเมื่อตัดกับฉากหลังที่เป็นทุ่งหญ้าสีเขียวซึ่งเป็นภาพที่เราพบเห็นได้ตั้งแต่เริ่มผ่านเข้ามายังบริเวณนี้

…พระราชวังแห่งนี้มีความเก่าแก่ด้วยที่ว่าเป็นป้อมปราการที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองซูสดัลนี้เลย และที่สำคัญก็คือบรรยากาศโดยรอบพระราชวังที่ร่มรื่น และเงียบสงบ จึงเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่หากมีเวลาเราสามารถมาเดินเล่น พักผ่อนกันได้พร้อมชมความสวยงามตามสไตล์เมืองเก่า…

…เมือง Suzdal (ซุสดาล) เป็นเมืองที่ชาวรัสเซียขนานนามว่า “เมืองยุโรปโบราณ” เนื่องจากบ้านเรือนที่นี่นั้นยังคงสภาพแบบยุโรปโบราณไว้ได้อยู่เป็นจำนวนมาก จากภาพจะเห็นได้ถึงความเงียบสงบ และบรรยากาศภายในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ที่ผมว่าเราควรมีเวลาอย่างน้อยสักคืนเพื่อเดินสัมผัสกลิ่นไอแห่งรัสเซียโบราณกันได้อย่างเต็มที่

…บ้านเรือนที่อยู่แวดล้อมด้วยธรรมชาติ และโบสถ์ต่าง ๆ มองจากตรงไหนก็รู้ว่านี่คือรัสเซียเพราะล้วนเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของสถาปัตยกรรมแบบรัสเซียทั้งสิ้น

…Suzdal เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่มีความสำคัญทางทางประวัติศาสตร์ และยังเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอีกแห่งในแถบ Golden Ring อีกด้วย.. สิ่งหนึ่งที่ผมสัมผัสได้เมื่อมาถึงที่เมืองนี้นอกเหนือไปจากความไม่วุ่นวาย ความเงียบสงบแล้วก็คือที่นี่จะไม่มีการสร้างตึก หรืออาคารสูงเพื่อทำลายทัศนียภาพอีกด้วย หรืออย่าว่าแต่ตึกสูงเลยแค่ร้านอาหารทันสมัย ๆ โมเดิร์น ๆ หน่อยก็ไม่มีแล้ว จะมีก็เพียงแค่ร้านค้าธรรมดา ๆ เท่านั้น กล้าบอกได้ว่าคนที่จะมาที่นี่คงต้องชอบฟิวล์แบบรักสงบ อยากอยู่ท่ามกลางความไม่พลุกพล่าน ที่นี่แหละตอบโจทย์มาก ๆ เลย

…จากกรุงมอสโคว์ และเมืองวงแหวนรอบนอกเราก็พร้อมออกเดินทางไกลกันต่ออีกครั้งเพื่อมุ่งหน้าสู่มหานครที่ว่ากันว่ายิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกไม่แพ้ที่ไหน ๆ “มหานครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก”

…ระยะทางจากกรุงมอสโคว์ถึงมหานครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กนั้นอยู่ที่ราว ๆ 700 กว่ากิโลเมตร เทียบระยะให้เห็นภาพชัด ๆ ก็เหมือนจากกรุงเทพไปเชียงใหม่บ้านเรา.. ซึ่งสำหรับการเดินทางของผมกับ We Are Wanderlust Travel นั้นเราจะไม่นั่งเครื่องบินไป แต่เราจะเดินทางไปด้วยรถไฟความเร็วสูงที่ใช้ระยะเวลาเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้น..

…ความจริงการเดินทางด้วยรถไฟนั้นมีทั้งแบบปกติ และแบบรถไฟความเร็วสูง.. แบบปกตินั้นก็ใช้ระยะเวลาประมาณ 12 ชั่วโมง แต่ราคาจะถูกกว่า .. แต่สำหรับรถไฟความเร็วสูงจะเหลือเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้น พร้อมด้วยการนั่งชมวิวตลอดสองข้างทางเรียกว่านั่งหล่อ ๆ สวย ๆ เล่น MV มิวสิคกันได้เลย

…St.Petersburg เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ และใหญ่เป็นอันดับสองรองจากกรุงมอสโคว์ ความสวยงาม ความโรแมนติค เอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรม และยังการันตีความคลาสสิคด้วยความเป็นเมืองมรดกโลกอีกด้วย ด้วยหลายเหตุนี้เองที่ส่งผลให้เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กนั้นมักมีจะมีชื่อติดอยู่ในลิสท์อันดับเมืองที่น่าเที่ยวที่สุดในโลกอยู่เสมอ ๆ

…และในความคิดผมเสน่ห์อีกอย่างของเมืองนี้ก็คงอยู่ที่ช่วง White Night Festival เทศกาลที่ยิ่งใหญ่ของประเทศ ที่มีผู้คนจากทุกสารทิศทั่วโลกให้ความสนใจเดินทางมาเที่ยวกันในช่วงนี้ค่อนข้างมากเป็นพิเศษเพราะนอกจากจะได้มีเวลาเที่ยวกันยาวนานแล้ว หลายคนก็อยากจะมาเพื่อสัมผัสกับบรรยากาศของคำว่า “พระอาทิตย์เที่ยงคืน” ว่าเป็นอย่างไร….

…แน่นอนว่าด้วยความเป็นเมืองท่องเที่ยวจึงทำให้เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กมีนักท่องเที่ยวเดินทางกันมาที่นี่ตลอดทั้งปีไม่ขาดสาย บวกด้วยความเป็นอยู่ของชาวเมืองที่นี่ก็ทำให้เมืองนี้เป็นเมืองที่มีความคึกคักอยู่ตลอดเวลา แต่แม้จะเป็นเมืองใหญ่ผู้คนอยู่เยอะแต่สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นและชื่นชมอยู่ไม่น้อยก็คือความสะอาดของบ้านเมือง สังเกตได้จากตามพื้นถนนหนทางต่าง ๆ หากถามว่าสกปรกไหมมีขยะไหมก็ต้องบอกว่ามีบ้างแหละ.. แต่ถ้าเทียบกับจำนวนประชากรที่เดินไปเดินมาแล้วบอกเลยว่าสำหรับผมนี่ถือว่าสะอาดมาก

…Hilton Saint Petersburg Expo Forum…

…ที่พักในใจกลางเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กนั้นมีมากมายหลายแห่งเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ชาวต่างชาติ หรือแม้แต่จะชาวรัสเซียด้วยกันเอง ซึ่งสำหรับที่พักที่เราเข้าพักนั้นแม้จะไม่ได้อยู่ใจกลางเมืองเท่าไหร่นัก แต่ข้อดีก็คือได้หลีกหนีความวุ่นวายออกมาสักหน่อยราว ๆ 20 กิโลเมตรจากใจกลางเมืองเรียกว่าก็สะดวกดีนะครับสำหรับใครที่ไม่อยากพักบริเวณตัวเมือง

…ก่อนที่เราจะเที่ยวกันให้ฉ่ำปอดชุ่มจิตกับเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กก็ขอออกไปเที่ยวยังเมืองมรดกโลกที่อยู่ใกล้เคียงกันสักหน่อยกับเมือง Veliky Novgorod เมืองที่ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 9 ซึ่งถือว่าเป็นเมืองเก่าแก่ และยังเป็นศูนย์กลางของรัสเซียในยุคโบราณอีกด้วย ..

…ระหว่างเส้นทางที่เรานั่งรถออกจากเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเพื่อมุ่งหน้าสู่เมืองนอฟโกร๊อดเราก็จะได้พบกับวิวทิวทัศน์ที่สวยงามตลอดสองข้างทาง เรียกว่าพอตาจะปิด ๆ ก็ต้องมีลืมตาสะดุ้งเพื่อเสพความสวยงามของทางที่เราแล่นผ่าน

…Yaroslav Courtyard

…สถานที่ที่เราได้เดินทางมาเพื่อสัมผัส และชื่นชมบรรยากาศของเมือง Novgorod ก็คือ Yaroslav Courtyard ที่นี่จะว่าไปแล้วก็เปรียบเหมือนแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของชาวเมือง และนักท่องเที่ยวอยู่ไม่น้อย เพราะถ้าวันไหนอากาศอุ่นสบาย ชายหาดที่เห็นในภาพก็จะมีชาวรัสเซียมานอนเล่นผึ่งพุงอาบแดด ทำกิจกรรมริมชายหาดไม่ว่าจะวอลเล่ย์บอลชายหาด เตะบอล หรืออะไรก็ได้สุดแล้วแต่ความสุขของใคร

…แต่หาดที่เห็นนี้ก็ไม่ใช่ชายหาดทะเลหรืออะไรนะ เป็นเพียงหาดทรายธรรมดา ๆ นี่แหละ แต่ฟิวล์มันได้เหมือนกันนะจะว่าไปแล้ว ซึ่งไฮไลท์อีกอย่างของ Yaroslav Courtyard ก็คือสะพานยาวที่ข้ามไปยังอีกฝั่งซึ่งเป็นที่ตั้งของ St. Sophia Cathedral ที่เรากำลังจะเดินข้ามไปชมความงามกัน

…ว่ากันว่าที่เมือง Novgorod นั้นมีเหล่าบรรดาช่างฝีมือมากมายตั้งแต่ในอดีตดังนั้นที่นี่เราจึงเห็นคนในท้องถิ่นเอาของที่ระลึก ผลงานศิลปะ และสินค้าต่าง ๆ มาวางขายกันอยู่ค่อนข้างเยอะทั้งงานเหล็ก งานไม้ งานผ้า สุดแท้แต่ที่จะเอามาประดิษฐ์กันได้

…บรรยากาศของการเดินเล่นแถบนี้ต้องบอกว่าเย็นสบายมาก ถึงแม้ว่าจะเป็นกรกฏาคมช่วงหน้าร้อนก็ตาม แต่สภาพอากาศนั้นเต็มที่ผมให้ไม่เกิน 25 องศา ซึ่งหน้าร้อนที่นี่ยังไงสำหรับเราคนไทยก็ถือว่าอากาศเย็นถูกใจแน่นอน…

…St. Sophia Cathedral…

…มหาวิหาร St. Sophia นั้นถือว่าเป็นหนึ่งในอาคารที่ก่อสร้างด้วยหินที่เก่าแก่ที่สุดในรัสเซีย ตัวโบสถ์มีความสูง 125 ฟุต สวยงามด้วยยอดโดมทั้ง 5 ยอด ภายนอกรอบ ๆ ของบริเวณมหาวิหารแห่งนี้มีลักษณะเหมือนสวนหย่อมที่เราสามารถเดินเล่นได้แทบทุกบริเวณ มีมุมสวย ๆ อยู่ค่อนข้างเยอะสำหรับใครที่ชอบบรรยากาศของสวนเขียว ๆ

…ส่วนภายในมหาวิหารนั้นก็ต้องบอกได้ว่าอลังการตามแบบฉบับศิลปะรัสเซียขนานแท้ ด้วยบรรยากาศ มุมของโบสถ์ เมื่อแดดยามบ่ายส่องเข้ามาก็ได้ภาพสวย ๆ ไม่ยาก ..ส่วนข้อสำคัญก็คือการใช้เลนส์ไวด์นี่แหละที่ช่วยให้เราเก็บภาพแบบอลังการได้ง่ายยิ่งขึ้น

…Catherine Palace…

…จากเมือง Novgorod เราไปต่อกันอีกเมืองที่อยู่ใกล้กัน St.Petersburg ก็คือเมือง Pushkin กับ “พระราชวัง Catherine” ที่นี่เป็นอีกหนึ่งพระราชวังที่มีความงดงามไม่แพ้ที่ไหน ๆ แม้ด้านนอกอาจจะดูเรียบ ๆ ไปสักหน่อย แต่ภายในขอบอกได้เลยว่าอลังการงานสร้างแห่งศิลปะ และสถาปัตยกรรมมาก ๆ

…พระราชวัง Catherine สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1717 โดยพระนางแคทเธอรีนที่ 1 พระมเหสีองค์โปรดของปีเตอร์มหาราช ซึ่งได้ครองราชย์หลังจากที่ท่านปีเตอร์มหาราชสวรรคต จึงได้สร้างวังแห่งนี้ขึ้นเพื่อเป็นพระราชวังฤดูร้อน ซึ่งได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกชาวเยอรมัน

…การก่อสร้างนั้นเป็นสไตล์สถาปัตยกรรมแบบคลาสสิค ซึ่งมีการต่อเติม และตกแต่งใหม่มาหลายยุคหลายสมัยด้วยกัน โดยว่ากันว่ายุคที่รุ่งเรืองที่สุดนั้นทั้งพระราชวัง หลังคา รูปปั้นต่าง ๆ ล้วนตกแต่งด้วยทองคำแท้ทั้งสิ้น..

…ซึ่งอย่างที่เห็นในภาพว่าภายในของพระราชวังแคทเธอรีนนั้นมีความยิ่งใหญ่งดงามหรูหรามาก และที่ดีที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเรา ๆ ก็คือ ที่นี่อนุญาตให้เรานำกล้องเข้าไปถ่ายภาพได้ทั้งภายในพระราชวัง และภายนอก .. สิ่งที่เราต้องเตรียมก็คือเลนส์มุมกว้างนี่แหละครับที่จะช่วยให้เราเก็บภาพได้ง่ายดายยิ่งขึ้น

…Peterhof Palace : พระราชวังปีเตอร์ฮอฟ…

…กลับมายัง St.Petersburg กันต่อโดยจะไม่ออกไปไหนแล้วจากมหานครนี้ 555 โดยขอเริ่มต้นลำดับแรกที่พระราชวังฤดูร้อน “Peterhof Palace” ที่ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลบอลติก และเป็นอีกหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ และสวยมากกอีกแห่งของเมือง St.Petersburg ซึ่งจะว่าไปแล้วความงดงามนั้นผมให้เป็นที่สุดของพระราชวังในรัสเซียที่ผมได้เดินทางมาเห็นกับตาในครั้งนี้เลย จะเสียดายไปหน่อยสำหรับพระราชวัง Peterhof ก็คือด้านในพระราชวังที่เราเดินชมความงามตามห้องต่าง ๆ นั้นไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพ แต่ถ้าภายนอกจัดเต็มได้เลย

…จากภาพที่เห็นก็พอจะประมาณกันได้นะครับว่าเพราะอะไร กับความยิ่งใหญ่อลังการ มีทั้งตัวพระราชวัง น้ำพุ สวนหย่อม และหากเดินไปให้ทั่ว ๆ ก็จะไปยืนรับลมริมฝั่งทะเลบอลติกด้านหน้าได้อีกด้วย

…ส่วนเรื่องราวการก่อสร้างพระราชวังนี้ได้ถูกออกแบบโดยชาวรัสเซียนาย Jean-Baptiste Le Blond ซึ่งได้รวมสถาปัตยกรรม ประติมากรรม มาผสมผสานกันได้อย่างลงตัว ส่วนระยะเวลาที่ใช้ในการก่อสร้างก็เบา ๆ แค่ประมาณ 10 ปี !!!

…ขอเพิ่มเติมความรู้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยกับคำว่า “พระราชวังฤดูร้อน” อีกสักนิดก่อนจะไปยังสถานที่ต่อไป .. คือที่มีคำจำกัดความว่า “ฤดูร้อน” ดังนั้นเหตุผลในการก่อสร้าง รวมไปถึงการออกแบบ และเหตุผลต่าง ๆ ก็คือสร้างเพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นอยู่ในช่วงฤดูร้อน ซึ่งในอดีตนอกจากจะใช้เป็นสถานที่พักผ่อนของเหล่ากษัตริย์แล้ว ก็ยังเป็นที่พำนักล่าสัตว์ในฤดูร้อนอีกด้วย และแน่นอนว่าก็ต้องมี “พระราชวังฤดูหนาว” ก็จะมีความสอดคล้องเหมาะสมกับช่วงหน้าหนาวเช่นกัน

ปล. ลานน้ำพุหน้าพระราชวังที่เห็นในภาพแบบงามสุด ๆ นี้ไม่ได้เปิดตลอดทั้งปีนะครับ ซึ่งพระราชวังจะเปิดน้ำพุแค่ในช่วงฤดูร้อนเท่านั้นโดยจะเริ่มประมาณตั้งแต่ 1 พฤษภาคม ไปจนถึงประมาณเดือนกันยา หรือตุลาคมของทุกปี ดังนั้นหากใครที่จะเดินทางมาก็ต้องเช็คกันให้ดีก่อนเพื่อความชัวร์นะครับ

…Nikolaevsky Palace : พระราชวังนิโคลัส…

…ยังคงอยู่กันต่อที่พระราชวังกันนะครับ ซึ่งคราวนี้มากันที่ “พระราชวังนิโคลัส” ที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่ ค.ศ.1853 เป็นพระราชวังในศิลปะแบบบารอกผสมคลาสสิค ซึ่งในปัจจุบันพระราชวังแห่งนี้ก็ได้มีการปรับเปลี่ยนให้เป็นสถานที่สำหรับแสดงศิลปะพื้นบ้าน การแสดงโชว์พื้นเมืองต่าง ๆ ซึ่งคนที่มาที่นี่ส่วนใหญ่ก็มักจะไม่พ้นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมา St.Petersburg

…ซึ่งในพระราชวังพอเดินเข้าไปก็จะรู้สึกได้ราวกับเรามาร่วมงานสังสรรค์บรรดาเจ้าขุนมูลนายจริง ๆ ซึ่งนักท่องเที่ยวที่มาก็จะไปนั่งรับประทานอาหารจะเป็น Gala Dinner หนึ่งมื้อก่อน เราก็นั่งรับประทานอาหารกันไปฟังเพลงบรรเลงจากนักดนตรีที่เล่นเปียโนกันไป มีเพลงไทยด้วยนะ คาดว่าคงเล่นกันอยู่เป็นประจำ จากนั้นก็ตามต่อด้วยไปนั่งชมการแสดงเรื่องราว ละครเพลง ดนตรีในสไตล์รัสเซียกัน เรียกว่าเป็นอีกที่ที่หากมีเวลาก็น่ามาไม่น้อย แต่ถ้าใครที่เวลาจำกัดก็ค่อยเก็บไว้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งดีกว่าสำหรับคนที่ไม่ชอบดูการแสดง

…Peter and Paul Fortress : ป้อมปราการปีเตอร์ แอนด์ ปอลล์…

…วิหารปีเตอร์ แอนด์ ปอลล์ เริ่มสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1712 แต่ไปเสร็จในปี ค.ศ.1733 รวมเวลาแล้ว 21 ปี นับได้ว่ายาวนานมากสำหรับวิหารแห่งนี้ โดยที่มาของชื่อก็ตั้งขึ้นให้เป็นเกียรติแก่นักบุญปีเตอร์ และนักบุญปอลล์ …ความสวยงามของวิหารแห่งนี้ทันทีที่ได้เห็นก็คือความสูงของยอดแหลมที่โดดเด่นเป็นสง่ามากกับความสูง 122.5 เมตร ซึ่งในอดีตเคยเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดของเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กด้วย

…ส่วนภายในก็ยังคงความงดงามด้วยศิลปะยุโรปแบบบารอคซึ่งนับว่าแตกต่างกับโบสถ์คริสต์ออร์โทดอกซ์ทั่วไป ที่นี่หากใครมีเวลาผมว่าน่าแวะมานะครับเพราะบรรยากาศบริเวณใกล้ ๆ Peter and Paul Fortress นั้นอยู่ติดริมน้ำทำให้เรายังสามารถมองเห็นวิวแม่น้ำควบคู่ไปกับถนน และทางเดินต่าง ๆ ถ่ายรูปเล่นได้จนลืมเวลาเลย

…Hermitage Museum : พิพิธภัณฑ์เฮอร์มิเทจ…

… “พิพิธภัณฑ์เฮอร์มิเทจ” เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่มีชื่อเสียงลำดับต้น ๆ ของเมือง St.Petersburg เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่มีขนาดใหญ่มากว่ากันว่ารวบรวมไว้ด้วยชิ้นศิลปะจำนวนกว่า 3 ล้านชิ้น ซึ่งงานศิลปะต่าง ๆ จำนวนมหาศาลเหล่านี้ก็ตั้งแสดงอยู่ในอาคารทั้งหมด ที่นี่นั้นถือได้ว่ามีความเป็นที่สุดแห่งพิพิธภัณฑ์อยู่หลายด้านทั้ง เป็นที่รวบรวมศิลปะที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เป็นหอศิลป์ที่มีงานสะสมมากชิ้นที่สุดในโลก ซึ่งแน่นอนว่าหากเอ่ยชื่อของพิพิธภัณฑ์อันดับต้น ๆ ของโลก ก็จะต้องมีชื่อของ “Hermitage Museum” ติดโผอยู่แน่นอน

…อันนี้เป็น The Must สำหรับใครที่เดินทางมา St.Petersburg จะต้องแบ่งเวลามาให้ได้ ที่สำคัญควรแบ่งเวลาไว้ให้เยอะหน่อยนะครับเพราะกว่าจะเข้าคิวไปด้านในได้คิวต่อแถวยาวมาก ซึ่งสำหรับคนที่ชอบแนวงานศิลปะต่าง ๆ บอกเลยว่าไม่ควรพลาด

…Church of the Savior on Blood : โบสถ์แห่งหยดเลือด

…และแล้วก็มาถึงอีกหนึ่งความยิ่งใหญ่ที่ว่ากันว่าเป็นไฮไลท์ที่ไม่มีใครพลาดเมื่อมาที่นี่ก็คือการมาเยือน “โบสถ์แห่งหยดเลือด” เอาจริง ๆ ผมว่าสาเหตุที่โบสถ์นี้มีชื่อเสียงก็อาจด้วยเพราะชื่อที่ตั้งแล้วดูครั่นคร้าม ดูลึกลับดูมีที่มาที่ไปแตกต่างไปจากโบสถ์ จากวิหารอื่น ๆ ที่เคยได้ยินมา.. ซึ่งสาเหตุของชื่อนี้ก็ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าเรื่องไหนคือเรื่องที่ถูกต้องกันแน่…

…แต่ที่แน่ ๆ ก็คือความงดงามของศิลปะที่เราเห็นกันได้ตั้งแต่ภายนอกกับลวดลายวิจิตรงดงามของสถาปัตยกรรม .. นอกเหนือไปจากความสวยงามทั้งภายใน และภายนอกตัวโบสถ์ที่เราเห็นกันแล้ว ที่โบสถ์แห่งหยดเลือดนี้ก็เปรียบเหมือนหนังสืออีกเล่มที่ได้บันทึกประวัติศาสตร์ในอดีตของที่มาที่ไปในการสร้างโบสถ์แห่งนี้ไว้ด้วย

…ส่วนเรื่องที่ผมอยากเสริมเข้ามาให้เพราะเพื่อนผมที่เดินทางในช่วงเวลาเดียวกัน แต่ไม่ได้มาพร้อมกันกับผมก็ถูกมิจฉาชีพขโมยเอากล้อง และเลนส์ไปที่หน้าโบสถ์นี้ด้วย.. เนื่องจากมีผู้คนให้ความสนใจโบสถ์นี้ค่อนข้างมากกว่าที่ไหน ทำให้บริเวณรอบ ๆ โบสถ์นี้จะมีผู้คนมาวางของขาย มาแสดงสตรีทอาร์ท นั่งให้จิตรกรวาดรูปต่าง ๆ เยอะแยะไปหมด ซึ่งมิจฉาชีพนั้นก็จะอาศัยช่วงที่เราเผลอ ๆ นี่แหละครับมาเบียดมาเบี่ยงเบนความสนใจเรา แล้วให้ทีมงานโจรด้วยกันขโมยของเราไป.. อันนี้ก็ต้องระวังกันให้มาก ๆ นะครับ

…St. Isaac Cathedral : มหาวิหารเซนต์ไอแซค

…ปิดท้ายกับเรื่องราวของโบสถ์ มหาวิหาร พระราชวังต่าง ๆ กันที่พระเอกแห่งมหานครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเลยก็ว่าได้กับ “มหาวิหารเซนต์ไอแซค” ซึ่งแต่ก่อนเดิมทีเป็นโบสถ์ไม้ และต่อมาก็ได้รับการปรับปรุงสร้างคร่อมต่อมาเรื่อย ๆ จนในปัจจุบันกลายเป็นมหาวิหารที่ติดอันดับความยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกไปแล้ว โดยเฉพาะกับภาพของยอดโดมทองคำอร่ามที่ว่ากันว่าหนักรวมประมาณ 100 กิโลกรัม

…ไฮไลท์อีกอย่างสำหรับคนที่อยากเก็บภาพในมุมที่อาจจะไม่ค่อยมีคนได้เห็น แต่ควรจะมีเวลามากหน่อยก็คือการเดินขึ้นไปยังด้านบนวิหารเพื่อชมวิวเมืองซึ่งเราสามารถมองเห็นทั้ง “โบสถ์หยดเลือด” “ป้อมปีเตอร์ แอนด์ ปอลล์” “พิพิธภัณฑ์เฮอร์มิเทจ” และบรรยากาศของมหานครได้แบบครบ ๆ (แต่เสียดายว่าเวลาของผมน้อยไปหน่อย แค่คิดจะขึ้นก็ไม่ทันแล้วเป็นที่น่าเสียดาย และเสียใจที่สุดที่พลาดไป)

…ที่มหาวิหาร St. Isaac’s Cathedral ว่ากันว่าเป็นวิหารที่มีการตกแต่งประดับประดาไว้ได้อย่างอลังการมากที่สุด ทั้งทองคำแท้ หินอ่อน ภาพวาด ภาพแกะสลัก เสาหิน รูปหล่อสำริด และประติมากรรมต่าง ๆ ที่เข้าไปยืนมองแล้วบอกได้คำเดียวว่ายอมใจในความสุดยอดของมหาวิหารนี้จริง ๆ

…บรรยายมาซะขนาดนี้ยังไงก็ต้องยกให้ที่นี่คือหมายเลข 1 แห่งมหาวิหารในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในใจผมไปได้เลย

…ผ่านพ้นไปแบบค่อนข้างเต็มอิ่มเต็มตากับเหล่าพระราชวัง โบสถ์ และมหาวิหารต่าง ๆ ทั้งหลายจากทั้งกรุงมอสโคว์ และมหานครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กที่บอกได้ว่าแต่ละสถานที่นั้นความงาม ความอลังการนั้นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน จะต่างกันมากน้อยก็อยู่ที่ความชอบของใครแต่ละคนว่าชอบรูปแบบไหนสไตล์ไหนกัน

…ย้อนกลับมายังการเดินทางท่องเที่ยวในเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กกันต่อ โดยอีกหนึ่งวิธีที่นักท่องเที่ยวทั้งหลายเลือกที่จะสัมผัสบรรยากาศในอีกรูปแบบหนึ่งก็คือการล่องเรือไปตามแม่น้ำ ลำน้ำ ของมหานครแห่งนี้… ซึ่งข้อดีของการเสพสุขของการนั่งเรือก็คือความเย็นสบายนี่แหละครับ นั่งไปเรื่อย ๆ สายตาก็คอยสอดส่องสองข้างทาง มองตึกมองอาคารบ้านเรือน สถาปัตยกรรม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ไปเรื่อย ๆ ช่างเพลินอุราดีไม่น้อย.. ส่วนจะไปเส้นทางไหน เรือจะล่องไปทางไหน จะลงเรือเล็กเรือใหญ่ก็เลือกได้เลยแล้วแต่ความสะดวกของเรา

…ตลอดการเดินทางมายังประเทศรัสเซียตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย ทั้งผม ลูกค้าที่มาในกรุ๊ป รวมถึงทีมงานบริษัท We Are Wanderlust Travel เรามาด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น 9 วันเต็ม ๆ จากที่เมืองนี้ไม่เคยอยู่ในหัวของผมว่าจะได้มาเยือน แต่พอทันทีที่ได้รู้ว่าจะมาก็เริ่มหาหนังสือ เข้าสื่ออินเตอร์เนทต่าง ๆ หาอ่านข้อมูลต่าง ๆ มากมาย ทั้งการเตรียมตัวก่อนเดินทาง การระแวดระวังภัยจากมิจฉาชีพเมื่อมาถึง รวมไปถึงความสวยงามของสถานที่แต่ละแห่งที่จะได้มาเจอ ทุกอย่างนั้นค่อนข้างแตกต่างจากที่คิดไว้พอสมควร…

…ในด้านของความสวยงาม และความยิ่งใหญ่นั้นบอกได้คำเดียวว่าเกินคาดมากจากที่เห็นภาพในอินเตอร์เนท หรือในหนังสือ เพราะแต่ละสถานที่ที่ได้ไปนั้นใหญ่เกินที่วาดไว้เสียอีก บ้านเมืองที่ใหญ่แม้จะมากมายด้วยผู้คนประชากรทั้งชาวรัสเซีย ทั้งชาวต่างชาตินักท่องเที่ยวต่าง ๆ ไปที่ไหนก็เจอผู้คนมากมาย แต่สิ่งที่กลับได้เห็นก็คือความสะอาดที่ค่อนข้างมีความสะอาดหากเทียบกับคนที่เยอะแยะขนาดนั้น… รวมไปถึงผู้คนรัสเซียที่ได้เจอะได้เจอ ใครที่บอกว่าคนรัสเซียหน้าบึ้งไม่ยิ้ม อันนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องจริงแหละครับ เพราะไปต่างบ้านต่างแดนอยู่ดีดีจะให้ยิ้มให้สำหรับชาวรัสเซียก็น้อยคนนักที่จะยิ้มให้นักท่องเที่ยวก่อน เว้นเสียแต่จะเป็นพนักงานต่าง ๆ แต่พอเราลองได้พูดได้คุยได้เจรจาเวลาซื้อของ ยิ้มให้สอบถามอะไร ๆ ไป ก็จะมีรอยยิ้มกลับมา..

…ส่วนความน่ากลัวนั้นน่ะหรือ ก็อย่างที่เราทราบกันดีนะครับว่าพอออกนอกบ้านเรา (หรือแม้แต่จะที่บ้านเราเอง) พอก้าวออกมาแล้วที่ไหนในโลกก็ล้วนอันตรายทั้งนั้น.. แต่จะมากน้อยสำหรับการเดินทางมาไกลถึงยุโรปที่ที่ว่ากันว่ามีความศิวิไลซ์ แต่เรื่องราวของมิจฉาชีพ การโจรกรรมต่าง ๆ ก็ยังมีให้เห็นให้ได้ยินกันอยู่เสมอ ๆ และที่นี่ก็เช่นกันที่เรื่องความอันตรายของทรัพย์สินไม่เป็นรองที่อื่น ๆ ทั้งปารีส กรุงโรม มาดริด หรือที่ไหน ๆ ลองให้เป็นเมืองใหญ่ที่ผู้คนเยอะแยะที่นั่นก็จะมีความเสี่ยงมากขึ้นตามไปด้วย.. ยังไงซะตอนเดินไปเดินมาก็พยายามรักษาระยะห่าง 1 เมตร หนึ่งช่วงตัวไว้เป็นดีที่สุด ซึ่งสำหรับผมแล้วจะใช้เทคนิคนี้ทุกครั้งที่เดินทางออกนอกประเทศเพื่อไม่ให้ตัวเราไปใกล้กับคนอื่น เว้นเสียแต่จะเลี่ยงไม่ได้อย่างบนรถไฟ หรือตามสถานที่ที่เบียด ๆ ก็ต้องมีสติมีไหวพริบมาทดแทนครับ

…ปิดท้ายการเดินทางด้วยความประทับใจผ่านพ้นทุกวัน ผ่านพ้นทุกสถานที่ไปด้วยความสุข และความปลอดภัยตลอดการเดินทางตั้งแต่วันแรกจนกลับถึงบ้านเรา ..

…White Nights in Russia : From Moscow to St. Petersburg .. เรื่องราวการเดินทางตลอด 9 วันที่ผ่านมากับสองเมืองหลักกับช่วงเทศกาลไวท์ไนท์นั้นบอกได้คำเดียวว่าเป็นช่วงเวลาการเดินทางที่คุ้มค่ามากหากใครจะเดินทางมาเที่ยวที่รัสเซียเพราะเราสามารถเที่ยวได้เฉลี่ยตั้งแต่ 6 โมงเช้าที่แดดเริ่มออกไปจนถึงเที่ยงคืน ตี 1 ตี 2 ก็มีสำหรับบางคืนโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มหานครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก.. ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจได้ถึงคำว่าพระอาทิตย์เที่ยงคืน เพราะดึกดื่นขนาดนี้หากเป็นที่อื่นเมืองอื่นเราเองก็อาจสลบไสลบนเตียงไปเรียบร้อยแล้ว แต่สำหรับช่วง White Nights Festival นี่แหละที่เป็นเสน่ห์ และเป็นอีกทางเลือกสำหรับการเดินทางอันคุ้มค่าหากเราจะเลือกเดินทางไปไหนสักที่ในโลกแล้วเที่ยวได้เต็มที่กับชีวิตแบบนี้…

…ขอบคุณ บ. We Are Wanderlust Travel www.wearewanderlusttravel.com  ที่ให้โอกาสผมได้เป็นช่างภาพคอยเก็บภาพลูกค้า และสถานที่ต่าง ๆ ตลอดทั้งทริป  https://www.facebook.com/Wearewanderlusttravel

…ขอบคุณ บ.นิคอนไทยแลนด์ สำหรับอุปกรณ์กล้องถ่ายภาพ และเลนส์ที่ไม่เคยทำให้ผิดหวัง

…และขอบคุณตัวเองที่เขียนรีวิวนี้เสร็จสักทีหลังจากดองมาจนจะครบรอบ White Nights อีกปีแล้ว 555

…เรื่อง/ภาพ : ภานุวัฒน์ เอื้อชนานนท์ (Forzanu)

…ภาพเดินทาง ณ วันที่ 18-27 กรกฎาคม 2017

 

Facebook Comments
Please follow and like us:
20