…ก่อนจะเข้ารีวิวขอเชิญชวนทิ้งไว้เผื่อใครสนใจงานนี้กันก่อนนะครับกับ “ลานนาเวลเนส : เชียงราย-พะเยา-แพร่-น่าน” ที่จัดขึ้นในวันที่ 22-24 กันยายน 2560 เวลา 11.00-21.00 น. ณ ลานทะเลหมอก ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า เชียงราย…
…โดยในงานนี้จะได้พบกับทรรศนิการแหล่งน้ำพุร้อนธรรมชาติมีการให้ทดลองออนเซนแบบล้านนากันด้วย… พร้อมสนุกกับมินิคอนเสิรตไม้เมือง / เอ๊ะ จิรากร / สุเมธ & เดอะปั๋ง ..ในวันที่ 22 – 23 – 24 กันยายน ตามลำดับ.. ฝากไว้กันด้วยนะครับแล้วมาต่อเรื่องรีวิวกันเลย…
…จังหวัดแพร่เป็นอีกหนึ่งจังหวัดทางภาคเหนือที่ทุกวันนี้นักท่องเที่ยวในบ้านเราเริ่มหันมาให้ความสนใจกันมากขึ้นด้วยความงดงามของศิลปวัฒนธรรม และความไม่วุ่นวายที่เรียกได้ว่าเงียบสงบที่แตกต่างไปจากจังหวัดมีชื่อเสียงหลายแห่งในภาคเหนือ ทำให้เมืองแพร่กลายเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่คนเริ่มหันมาค้นหาเสน่ห์ของจังหวัดเล็ก ๆ แห่งนี้กันมากขึ้น.. ซึ่งในรีวิวนี้จะพาไปพบกับ 4 สถานที่ที่หลายคนคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว และอาจมีบางที่ที่เราอาจไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยก็ว่าได้… ก็ถือว่าเป็นรีวิวแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวสบาย ๆ ที่สามารถเที่ยวได้จบได้ใน 1 วัน มานำเสนอให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกัน…
…เริ่มต้นกันที่แรก “บ่อน้ำพุร้อนแม่จอก หรือ บ่อน้ำร้อนแม่จอก” เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของจังหวัดแพร่ ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเวียงโกศัย ต.แม่ป้าก อ.วังชิ้น จ.แพร่ เป็นบ่อที่มีน้ำผุดขึ้นมาจากพื้นดินตามธรรมชาติ ..
- เส้นทางการเดินทางนั้นสามารถใช้เส้นทางสาย 11 (จาก อ.เด่นชัย, อุตรดิตถ์) หรือสาย 1023 (จาก อ.ลอง, อ.เมือง จ.แพร่) เข้ามาทาง อ.วังชิ้น แล้วขับมาตามทางตามป้ายได้เลย หรือทุกวันนี้ที่สะดวก และช่วยนำทางเราได้หลาย ๆ ครั้ง(แม้บางครั้งจะทำให้หลงก็ตาม 5555) ก็คือเปิดพิกัดจาก Google Maps ตามลิ๊งค์นี้ได้เลย https://goo.gl/maps/fhiRNnMWZ2u
…วันที่ผมเดินทางมานั้นตรงกับวันธรรมดา สภาพอากาศลมเย็นพัดสบาย บรรยากาศเงียบสงบมากเพราะไม่มีนักท่องเที่ยวมาเลย(ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ 555)
…ภายในบริเวณก็ได้มีการแบ่งสรรปันส่วนไว้อย่างลงตัวทั้งบริเวณร้านอาหาร, บ้านพัก, อาคารอาบน้ำแร่(อาบแบบจริงจังเป็นห้อง ๆ เลย) บ่อน้ำพุร้อน, นวดแผนไทย รวมถึงบริเวณไฮไลท์ก็คือลำธารแช่เท้าที่สามารถแช่ได้ฟรี ๆ ไม่เสียตังค์เลย (ตามในภาพตัวอย่างด้านล่าง..) คนที่มาก็สามารถเลือกนั่งได้เลยแล้วก็ห้อยขาแกว่งต่องแต่ง ๆ แช่เท้าลงไปให้รับรู้ได้ถึงความอุ่นที่จะทำให้เราผ่อนคลายได้ไม่น้อย
…จากนั้นก็จะเป็นโซนนวดแผนไทยที่มีไว้บริการลูกค้าเผื่อใครติดลม แช่เท้าเสร็จแล้วอยากเพลินอุราเบาสบายแล้วก็มาที่อาคารนวดแผนไทยต่อได้เรียกว่าเป็นความเบาสบายแบบต่อเนื่อง
…หรือใครอยากนอนพักก็มีบ้านพักให้บริการ โดยในปัจจุบันนี้มีให้บริการอยู่ 2 หลังเท่านั้น .. ใครที่สนใจก็สามารถติดต่อสอบถามได้ที่องค์การบริหารส่วนตำบลแม่ป้าก อำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่ 54160 / โทร : 086-429-7244
…มาถึงส่วนที่บริเวณอาคารอาบน้ำแร่โดยจะแบ่งเป็น 2 แบบได้แก่ แบบแช่ และแบบอาบ ซึ่งทั้ง 2 แบบก็เสียค่าบริการเท่ากันที่ 50.- อยู่ที่ว่าเราจะเลือกแบบไหนก็ตามสะดวก โดยมีข้อปฏิบัติในการอาบน้ำแร่แปะป้ายไว้ให้เราปฏิบัติตามกฏก็อ่านกันสักหน่อยทำความเข้าใจ
…โดยในห้องอาบน้ำแร่ก็มีลักษณะเป็นหลุมบ่อแล้วเปิดน้ำก๊อกให้ไหล ส่วนขนาดของห้องก็ต่างกันไปแล้วแต่ตามการออกแบบแต่โดยรวมถือว่าก็ทำได้ดีในระดับหนึ่งตามที่เห็นในภาพ.. เอาจริง ๆ ถ้าเที่ยวมาเหนื่อย ๆ แล้วไม่ได้รีบไปไหนต่อผมว่าได้แช่สัก 10-20 นาทีก็น่าสนใจไม่น้อย
…จากอาคารอาบน้ำมาด้านนอกกันอีกครั้งไปยังตรงจุดที่ให้ผู้มาเที่ยวได้มีกิจกรรมสนุก ๆ ได้ทั้งความเพลิดเพลินได้ทั้งความอิ่มนั่นก็คือการต้มอาหารลงในบ่อน้ำร้อน… แต่ไม่ใช่จะเอาอะไรมาต้มก็ได้นะ เพราะทางสถานที่ได้เตรียมไว้ให้แล้วก็จะมีไข่นกกระทา หน่อไม้ ไข่ไก่ วางจำหน่ายอยู่ข้างบ่อก็เลือกได้เลยว่าจะกินอะไรก็ซื้อตรงนี้ไปต้มในบ่อ
…อย่างภาพของเด็ก ๆ กำลังต้มไข่ไก่อยู่ รู้เลยว่ารอกินกันอยู่หลายคน แต่มีตัวแทนต้มได้เพียงหนึ่งคือน้องผู้หญิง 555 … น้ำร้อนที่นี่ก็อยู่ที่ประมาณ 80 องศาเซลเซียสความร้อนก็สามารถทำให้เราทำอาหารบางอย่างได้สบาย ๆ อย่างเช่น ไข่ต้มที่ฮิต ๆ กันทั่วไปตามบ่อน้ำร้อน หรือน้ำพุร้อนต่าง ๆ ในเมืองไทย…
…เป็นอันผ่านพ้นไปเสร็จสิ้นกับสถานที่แนะนำที่แรกที่อาจดูเงียบเหงาไปนิดจากภาพ แต่ถ้าเป็นวันหยุดแล้วก็จะคึกคักขึ้นกว่านี้แน่นอน ส่วนช่วงเวลาที่เหมาะสมในการมาบ่อน้ำร้อนแม่จอกก็อยู่ที่ช่วงเช้าที่มีไอร้อนลอยคลุ้งไปมาก็จะดูสวยงามได้บรรยากาศไปอีกแบบ หรือใครจะมาตอนเย็นแดดร่มลมตกหน่อยก็ยังได้ เพราะที่นี่ปิดให้บริการประมาณ 17.00 น.
…มาถึงสถานที่แนะนำต่อไปได้แก่ “บ้านนาคูหา” แหล่งท่องเที่ยวที่เป็นวิถีชุมชนอันเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยความสงบ และความสุขของวิถีชีวิตของคนในบ้านนาคูหาที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันบริสุทธิ์ห้อมล้อมด้วยภูเขา และผืนป่า ส่งผลให้ที่นี่มีอากาศเย็นสบาย
…นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาที่บ้านนาคูหาส่วนใหญ่จะเป็นพวกแนวที่ชอบความสงบ ไม่วุ่นวาย อยากเรียนรู้วิถีชีวิตรูปแบบของชุมชน ใครที่มาที่นี่ก็จะรู้สึกอิ่มไปกับบรรยากาศที่สบาย ๆ จะมาเช้าเย็นกลับ หรือแวะมาสักสองสามชั่วโมงเรียนรู้วิถีชาวบ้าน รับประทานอาหารที่สด ๆ สะอาด ๆ ที่ได้จากพืชพันธุ์ที่นี่ หรือใครอยากนอนค้างก็ยังมีโฮมสเตย์ให้เราได้พักค้างอ้างแรมกันด้วย
…การเดินทางสู่บ้านนาคูหา จากตัวเมืองแพร่ไม่ไกลนักใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 1101 ออกจากตัวเมืองแยกซ้ายที่บ้านป่าแดงเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 1024 ขับต่อมาประมาณ 20 กิโลเมตร ตามเส้นทางก็จะพบกับชุมชนบ้านนาคูหาอยู่ติดริมถนนเลย…
…บรรยากาศในชุมชนก็มีทั้งวัดนาคูหาตามภาพที่ได้เห็นไป นอกจากยังมีถ้ำให้สำรวจที่แนวภูเขาด้านหลังวัดอีกด้วยเสียดายว่าเวลาน้อยไม่งั้นจะฮึดเดินไปสักหน่อย.. และส่วนอื่น ๆ ที่ใครหลายคนที่ชอบแนวนี้มาแล้วพูดเป็นเสียงเดียวกันก็คือความสงบในบรรยากาศวิถีไทย ๆ ที่ทุกวันนี้หาสัมผัสกันได้น้อยลงไปทุกที
…และอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของที่ชุมชนบ้านนาคูหาก็คือ “สาหร่ายเตา” สาหร่ายที่ขึ้นอยู่ในบึงในบ่อแล้วถูกนำมาประยุกต์ปรับแปลงให้กลายเป็นสินค้าที่เป็นชื่อเสียงของชุมชน ไม่ว่าการนำสาหร่ายที่ขึ้นในบ่อมาผ่านขั้นตอนมาทำเป็นข้าวเกรียบ มาประกอบอาหาร หรือแม้แต่เอามาทำเป็นสบู่ก้อน.. ซึ่งที่มาที่ไปของสาหร่ายนั้นก็ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของน้ำในบ่อ ปริมาณของแสงแดด และสภาพแวดล้อมหลาย ๆ อย่างที่เอื้ออำนวยต่อพื้นที่ในแถบนี้
…อย่างในภาพก็คือขั้นตอนการเก็บสาหร่ายขึ้นมาจากบ่อแล้วนำมาล้าง ก่อนจะทำให้แห้งแล้วเข้าสู่ขั้นตอนการผลิตต่อไปว่าจะทำเป็นรูปแบบไหน หรือแม้แต่นำสาหร่ายแบบนี้ห่อใบตองออกจำหน่ายเลยก็ได้
…ภาพแรกก็คือสบู่ และข้าวเกรียบที่ทำมาจากสาหร่ายเตา ..
…ภาพสองก็คือยำสาหร่ายเตา .. ให้เราลบภาพยำสาหร่ายญี่ปุ่นไปเลยนะครับ มันคนละแบบกันเลย คือจานนี้มันอาจจะดูหยึย ๆ หน่อย แต่รสชาติก็จะเหมือนยำตามสไตล์ทั่วไปเพียงแต่มาในรูปแบบสาหร่ายเลยอาจดูยืด ๆ เป็นยางไปสักหน่อย.. ใครที่อยากลองความแปลกใหม่บอกเลยจานนี้ไม่น่าพลาด
…ภาพสามสุดท้ายก็คือ นำสาหร่ายที่พอแห้งหน่อยแล้วมาห่อใส่ใบตองแล้วขายเพื่อให้ผู้ที่ซื้อเอาไปทำอย่างอื่นกันต่อไป
…นอกจากนี้ภายในชุมชนบ้านนาคูหาก็ยังมีการเก็บพืชพันธุ์ผลไม้ต่าง ๆ มาแปรสภาพทำขายเลี้ยงชีพกันเป็นเรื่องปกติ เรียกว่าเป็นวิถีที่เรียบง่าย ประหยัดปลอดภัยไร้สารพิษแน่นอน
…ถึงเวลาต้องอำลาจากบ้านนาคูหาสรุปได้ว่าส่วนตัวผมเองก็ค่อนข้างชอบที่นี่เพราะความเงียบสงบของที่นี่เป็นหลัก แต่สิ่งที่เกินคาดก็คือธรรมชาติที่ล้อมรอบห้อมล้อมภายในชุมชนนี้ถือว่าอุดมสมบูรณ์มาก ทั้งภูเขาต้นไม้ที่อยู่แน่นขนัดไปหมด และผมมั่นใจว่าหากมีการวัดระดับสภาพอากาศที่บริสุทธิ์ที่นี่จะต้องติดอันดับ 1 ใน 5 ของประเทศแน่นอน.. “บ้านนาคูหา”…
…ผ่านพ้นไปกับวิถีชุมชนแห่งบ้านนาคูหา มาปิดท้ายกันที่ 2 วัดที่มีชื่อเสียงโดยเริ่มต้นกันที่แรกที่ “วัดพระธาตุสุโทนมงคลคีรี หรือ วัดพระธาตุสุโทนมงคลคีรีสามัคคีธรรม” เป็นวัดที่สร้างขึ้นใหม่ในปี พ.ศ. 2520 ตั้งอยู่บนถนนสายแพร่-ลำปาง อ.เด่นชัย … จุดเด่นของวัดนี้ที่เห็นได้แต่ไกล และจากภายนอกเลยก็คือรูปปั้นพระนอนองค์ขนาดใหญ่มากที่นอนอยู่หน้าวัดตรงบริเวณทางเดินบันไดขึ้น… แค่ทันทีที่แรกเห็นตามประสาคนไม่เคยมาก็บอกได้คำเดียวว่าอึ้งไปเลย ไม่คิดว่าจะใหญ่ขนาดนี้.. บวกกับรูปปั้นสิงห์ขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าด้วยแล้วยิ่งดูมีพลังมาก
…จุดเด่นของวัดพระธาตุสุโทนมงคลคีรี .. คือเป็นวัดที่ได้รวบรวมศิลปกรรมล้านนาประยุกต์ที่สวยงามต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นศิลปะบนฝาผนัง ภาพจิตรกรรม ภาพของเรื่องราวชาดกพื้นบ้าน และภาพพุทธประวัติภายในวัดแห่งนี้.. รวมถึงภายในวัดยังมีเจดีย์ทรงล้านนากว่า 30 องค์ ส่วนภาพที่เห็นไปบริเวณด้านหน้าก็คือบันไดทางขึ้นทิศตะวันออกมีรูปปั้นสิงห์ขนาดใหญ่ และพระนอนองค์ใหญ่โดดเด่นอยู่ด้านหน้าวัด
…เป็นอีกวัดหนึ่งที่เราสามารถสัมผัสได้ถึงเอกลักษณ์ที่งดงามแตกต่างไปจากวัดอื่นทั่ว ๆ ไปเรียกว่าตั้งแต่ด้านหน้าวัดที่เราเห็นตั้งแต่จอดรถ จนได้เดินเข้ามาถึงภายในก็เห็นถึงความงดงามปราณีตของงานศิลปะ จิตรกรรมต่าง ๆ ที่บ่งบอกถึงพุทธศาสนาได้อย่างดีและชัดเจน…
…อย่าลืมนะครับใครที่แวะมาเมืองแพร่ แถว อ.เด่นชัย ห้ามพลาดที่จะมาแวะเคารพสักการะกันที่วัดพระธาตุสุโทนมงคลคีรีกันสักหน่อย แล้วค่อยออกเดินทางสู่ที่หมายอื่นกันต่อไป
…ปิดท้ายอัลบั้มนี้กันที่ “วัดพระธาตุช่อแฮ พระอารามหลวง” ซึ่งเป็นวัดศักดิ์สิทธิ์เก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองจังหวัดแพร่มาตั้งแต่ในสมัยอดีตจวบจนปัจจุบัน ด้วยความที่เป็นวัดพระธาตุประจำปีเกิดของผู้ที่เกิดปีขาล ทำให้เป็นอีกเหตุผลที่มีผู้เดินทางมากราบไหว้สักการะอยู่ตลอดทั้งปี.. แต่ถึงแม้ใครที่ไม่ได้เกิดปีขาลจะเกิดปีไหน ๆ ก็นิยมเดินทางมาที่นี่แทบทั้งสิ้น
…เข้ากับประโยคที่ว่าใครที่เดินทางมา จ.แพร่ แล้วไม่ได้มานมัสการพระธาตุช่อแฮ ก็เหมือนไม่ได้มาจังหวัดแพร่เข้าจริง ๆ
…ก็เป็นอันส่งท้ายกับภาพของวัดพระธาตุช่อแฮยามพลบค่ำที่ผู้คนบางตาลงมาก สำหรับผู้ที่รักการถ่ายรูป หรืออยากได้ภาพพระธาตุสีทองตัดกับท้องฟ้าสีน้ำเงินยามโพล้เพล้ก่อนแสงจะมืดไป ก็ควรมาให้ทันเวลาเพราะภายในพระธาตุจะปิดให้เข้าเขตบริเวณประมาณทุ่มนึง.. ก็กะเวลาให้ดีได้ภาพสวย ๆ กลับไปแล้ว ก็กล่าวคำอำลากราบไหว้พระธาตุอีกครั้ง แล้วไว้หากเดินทางมาเที่ยวแพร่อีกเมื่อไหร่ก็จะต้องกลับมาที่พระธาตุช่อแฮนี้อีกครั้งเป็นแน่…