เที่ยว 2 เมืองประตูสู่ภาคใต้ : ชุมพร – ระนอง
…ชุมพร + ระนอง .. 2 จังหวัดเชื่อมต่อกัน
…ชุมพรอยู่ติดอ่าวไทย ระนองอยู่ติดฝั่งอันดามัน
…ชุมพรมีทะเล ระนองก็มีทะเล
…ชุมพรมีอะไร ระนองก็มีอะไร.. สองเมืองสองจังหวัดนี้เหมือนพี่น้องกันในหลาย ๆ อย่างแต่ก็มีหลาย ๆ อย่างไม่เหมือนกัน..
…แล้วทำไมต้องเป็นชุมพร-ระนอง ก็เพราะสองเมืองนี้อยู่ในโครงการ “12 เมืองต้องห้ามพลาดพลัส” ก็คือเที่ยวเมืองหนึ่งแล้วเที่ยวต่อได้อีกเมืองแบบติด ๆ สะดวก ๆ นั่นเอง… ซึ่งจะสะดวกสุด ๆ ก็ต้องนั่งเครื่องบินมาลงแล้วเช่ารถขับเที่ยว ชุมพรมีสนามบิน ระนองก็มีสนามบิน .. สายการบินนกแอร์ก็มีบินลงทั้ง 2 จังหวัดนี้ ทุกวี่ทุกวัน เลือกไฟลท์กันได้เลย..
…ดังนั้นการที่จะบินมาลงชุมพร แต่ขึ้นบินกลับที่ระนอง / หรือบินมาลงระนอง แล้วขึ้นบินกลับที่ชุมพร .. ได้หมดส่วนจะสดชื่นแค่ไหนก็อยู่ที่ว่าเราจะเที่ยวอะไร ที่ไหนกันบ้างพบกับรีวิวสถานที่ท่องเที่ยวจาก 2 จังหวัดนี้ พร้อมกับเรื่องราวการเดินทางง่าย ๆ พร้อมความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ เก็บไว้เป็นข้อมูลกันได้เลยครับ
ปล. รีวิวนี้ได้รับการสนับสนุนจากสายการบินนกแอร์ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จ.ชุมพร จ.ระนอง
ส่วนอุปกรณ์ถ่ายภาพที่เห็นในอัลบั้มนี้ตามนี้เลย
• NIKON D750 + AF-S NIKKOR 14-24mm f/2.8G ED • AF-S NIKKOR 35mm f/1.4G • AF-S NIKKOR 58mm f/1.4G • AF-S NIKKOR 70-200mm f/2.8E FL ED VR •
…เริ่มต้นการเดินทางที่ท่าอากาศยานดอนเมือง อาคาร 2 สำหรับเที่ยวบินภายในประเทศกับสายการบินนกแอร์ เส้นทางกรุงเทพ – ชุมพร .. ซึ่งสายการบินนกแอร์นั้นก็มีเส้นทางเดินทางไปยังชุมพร และระนองทุกวัน .. ใครว่างช่วงเวลาไหนก็สามารถเลือกเดินทางตามที่ตัวเองสะดวกกันได้เลย ส่วนผมและพลพรรคเราเดินทางกันตั้งแต่ ตี 5.45 น. ไฟลท์ DD7610 เพื่อความชัวร์ก็ต้องมาเช็คอินก่อนสัก 1 ชั่วโมง เท่ากับว่าต้องเช็คอินกันที่ตี 4.45 น. นั่นคือเท่ากับว่าตื่นตี 3 ครึ่งกว่าจะอาบน้ำเดินทางออกจากบ้าน.. ข้อดีของไฟลท์เช้าก็คือถนนโล่ง เช็คอินคนน้อยยิ่งมาทันเวลาเดินชิว ๆ ได้ และก็ไปหลับบนเครื่องเอาอีกที.. ก่อนจะลุยเที่ยวทั้งวันแบบเต็ม ๆ วันได้เลย
…เมื่อถึงสนามบินชุมพรเป็นที่เรียบร้อยก็จัดการรับรถที่เช่าไว้ กรอกรายละเอียด ยื่นหลักฐาน ตรวจสภาพรถเสร็จสรรพก็มุ่งหน้า “ท่าเรือทิพมารีนา” ที่ตั้งของทัวร์เรือที่จะพาเราดำน้ำทะเลโลกชุมพร “บ. สยามคาตามารัน” เปิด GPS แล้วขับจากสนามบินมุ่งหน้ามาเพลิน ๆ 50 กม. ให้ทันลงเรือ 9 โมงเช้าก็ถือว่าสบาย ๆ ครับ โดยเราแวะกินข้าวเช้าที่ร้านข้าวแกงตรงข้ามท่าเรือทิพมารีนา ข้าวแกงอร่อยแต่ไม่รู้ชื่อร้าน ไม่มีรูปถ่ายมา แต่หาง่ายเพราะอยู่ตรงข้ามเป๊ะ..
…จากนั้นก็ตรวจสอบชื่อที่เราจองมา รับอุปกรณ์ชูชีพ และอุปกรณ์ดำน้ำลงเรือโลด… ทางแล่นออกสู่ทะเลก็จะพบกับบรรยากาศของชาวบ้านชาวประมงที่อยู่แถวนี้แล่นเรือเข้าเพื่อนำสัตว์น้ำมาแยกขายกันต่อไป
…วันนี้อากาศแลดูฟ้าครึ้มหมองหม่นพอสมควรแต่เมื่อวางโปรแกรมแล้วอย่างไรก็ต้องลุยกันครับ เพราะแม้จะครึ้มแต่สภาพการเดินเรือยังปลอดภัยอยู่ อันนี้ทาง บ.เรือจะเป็นคนพิจารณาให้เราก็มั่นใจได้ ระหว่างทางก็เจอนกนางแอ่นบินไปบินมาฉวัดเฉวียนตามเรือเราที่แล่นอยู่..
…ว่าแล้วก็หยิบเลนส์เทเล Nikon 70-200 mm F2.8 FL มายิงนกเล่น ๆ สักหน่อย.. ปรากฎว่ายิงไปประมาณ 10 ตัว เข้าเป้าอยู่ 2 ตัว (\^^/) .. สนุกดีนะครับ ระบบโฟกัสติดตามใช้งานได้ทันใจ เข้าเป้าเมื่อไหร่ภาพคมเป๊ะ ๆ
…และแล้วก็ถึงตามจุดดำน้ำ จุดที่มีเกาะสวย ๆ แปลก ๆ อยู่ตามระหว่างทาง เรือก็จะจอดให้เก็บภาพพร้อมตรงบริเวณไหนที่ลงน้ำดำได้ก็จะปล่อยให้ลูกค้าได้ลงไปดำกันให้ชื่นปอด.. ส่วนใครไม่ลงก็อยู่บนเรือถ่ายรูปเก็บไปเรื่อย ๆ ก็จะเห็นความสวยงามของธรรมชาติที่สร้างไว้เป็นรูปทรงเกาะต่าง ๆ .. ส่วนจุดดัง ๆ ที่ทะเลชุมพรก็มีหลายจุดอย่าง “เกาะง่ามน้อย” ที่เห็นในภาพมีโครงนั่งร้านไม้จากอยู่ หรือ “เกาะง่ามใหญ่” “เกาะกระโหลก” ก็เป็นจุดดำน้ำจุดเที่ยวที่ บ.ทัวร์เรือแวะมากันบ่อย ๆ
…คราวนี้มาดูโลกใต้น้ำทะเลชุมพรบริเวณเกาะง่ามน้อยกันบ้างว่าหน้าตาเป็นอย่างไร .. ก็อย่างที่เห็นคือเป็นเหมือนทุ่งทะเลดอกไม้อย่างไรอย่างนั้นเลย.. บอกตรง ๆ และยอมรับเลยว่าครั้งแรกที่เห็นภาพก็ไม่คิดว่าใต้น้ำอ่าวไทยจะอุดมสมบูรณ์ และสวยงามได้ขนาดนี้.. เสียดายอย่างเดียวว่าวันนี้แดดมันไม่มี เศร้านักแล.. เพราะถ้าอากาศดีดีแดดแรง ๆ แม้ตัวจะดำ แต่ภาพต้องออกมาสวยกว่านี้แน่ ๆ … แต่ไม่เป็นไรแบบนี้แสดงว่าจะได้กลับมาอีก 5555
…และพอเสร็จสิ้นกับโปรแกรมดำน้ำชมความงามเราก็จะไปต่อกันที่ “ตี๋บ้านนก 2015” ไปดูถึงเรื่องราวการผลิตรังนกกัน
… “ตี๋บ้านนก 2015” ตามพิกัดนี้ https://goo.gl/maps/NrKvYk9g3nn จะเป็นตัวสถานที่ที่เป็นเหมือนแหล่งความรู้สำหรับผู้ที่สนใจ หรืออยากศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับการทำรังนก รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เราได้จากประโยชน์ของรังนก.. โดยตัวสถานที่ก็จะเป็นอาคารตึกแถวง่าย ๆ นี่เลยครับที่เจ้าของแบ่งโซนสัดส่วนไว้อย่างชัดเจนตั้งแต่ด้านหน้าทางเข้าที่วางจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์ ถัดมาด้วยห้องที่คัดแยกตรวจสอบรายละเอียดต่าง ๆ กว่าจะออกมาเป็นรังนก ไปจนถึงห้องเลี้ยงนกนางแอ่นที่มีผู้ให้ความสนใจมาชมกันอยู่เรื่อย ๆ ทั้งแบบที่มาเที่ยว หรือมาเป็นหมู่คณะก็สามารถติดต่อได้ที่นี่เลยครับ http://goo.gl/KpaBfa
…มาถึงสถานที่ที่น่าสนใจ และขอบอกเลยว่าผมเองชอบมากเป็นการส่วนตัว 555 นั่นคือ “สถานีรถไฟชุมพร” ไม่รู้สิเพราะอะไรแต่ผมว่าสถานีรถไฟของบ้านเราน่าจะติดเข้าข่ายสถานีรถไฟที่มีความคลาสสิค และมีเสน่ห์ไม่แพ้ที่ไหน ๆ (ไม่นับตัวขบวนรถไฟนะที่อยากให้ใหม่สะอาดแบบบ้านอื่นเมืองอื่นบ้าง) แต่ถ้าเป็นเรื่องบรรยากาศต่าง ๆ รอบ ๆ แล้วผมว่าสถานีรถไฟชุมพรนั้นก็มีเสน่ห์เรียบ ๆ แถมมีมุมถ่ายรูปเล่น(ที่หาเอาเองข้างทาง) บริเวณข้างสถานีได้ด้วย… จะให้สนุกต้องมากันหลาย ๆ คนแล้วไปยืนเก๊กหล่อเก๊กสวยกัน.. รับรองแจ่มว้าวก่อนจะไปเที่ยวกันต่อ
…จากนั้นเราก็เปลี่ยนเส้นทางท่องเที่ยวเดินทางกันไปที่ จ.ระนองกันบ้าง โดยเริ่มต้นสร้างสิริมงคลให้กับการเดินทางด้วยการแวะ “วัดสุวรรณคีรี” หรือ “วัดปากจั่น” ซึ่งนับได้ว่าเป็นวัดเก่าแก่ที่ปัจจุบันนี้ก็มีบางส่วนของวัดกำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่ (อย่างในภาพส่วนของรูปปั้นองค์เจ้าแม่กวนอิม) ซึ่งจุดเด่นของวัดสุวรรณคีรีนี่ก็คือ มี “เจดีย์ชเวดากอง” ที่จำลองแบบมาจาก “มหาเจดีย์ชเวดากอง” รวมถึงพระธาตุอินทร์แขวน ที่มีชื่อเสียงของประเทศเมียนม่าร์มาให้เราได้เห็นแบบจำลอง ๆ กันที่นี่ ..
…จากนั้นเราก็เปลี่ยนโหมดมาสู่วิถีชีวิตวิถีบ้าน ๆ กันบ้างที่ “หมู่บ้านม้าน้ำ” หรือ “บ้านท้องตมใหญ่” อ.สวี จ.ชุมพร ซึ่งเป็นหมู่บ้านชายฝั่งทะเล โดยบ้านส่วนใหญ่แถบนี้ก็จะปลูกยื่นลงไปในทะเล และแน่นอนว่าอาชีพหลักก็คงหนีไม่พ้นการทำประมง แต่ที่โด่งดังมีชื่อเสียงก็คือการเพาะเลี้ยง “ม้าน้ำ” สัตว์ทะเลที่ว่ากันว่าเป็นอีกหนึ่งมาตรวัดความสมบูรณ์ของน้ำทะเลอีกด้วย
…สำหรับใครที่สนใจเดินทางมาชมวิถีชีวิตแบบเรียบ ๆ ง่าย ๆ ที่บ้านท้องตมแล้วหากไม่อยากกลับก็ยังมีโฮมสเตย์ให้เราพักหลับนอนด้วยเช่นกัน และขอบอกเลยว่าน่านอนมากซึ่งหากมีเวลาสักวันมาเดินเล่นเก็บภาพวิถีชีวิตชาวบ้านชาวประมงแถบนี้ไปเรื่อย ๆ หาอาหารทะเลสด ๆ กินกันที่นี่แล้วนอนแอ้งแม้งสักคืนค่อยเดินทางต่อ ผมว่าน่าจะถูกใจขาสโลว์ไลฟ์หรือพวกที่ต้องการการพักผ่อนแบบเนิบ ๆ ไม่รีบไม่วุ่นวาย
…และนี่ฝากไว้เลยใครสนใจ ลองกดที่ลิ๊งค์ของบ้านท้องตมใหญ่เข้าไปหาอ่านรายละเอียดกันได้เลยครับ http://www.tongtomyai.com/
…จากบ้านท้องตมใหญ่ วันที่เราเดินทางมาก็ได้รับการสนับสนุนจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จ.ชุมพร และ จ.ระนอง .. โดยมีกิจกรรมที่น่าสนใจได้จัดขึ้นที่ อ.ประทิว จ.ชุมพร นั่นคือกิจกรรมสร้างบ้านให้กับปลา(ครั้งแรกที่ผมได้ยินชื่อกิจกรรมก็ค่อนข้างงงเลก็น้อยว่าคืออะไร) พอมาในงานได้ยืนได้ฟังถึงที่มาที่ไป รวมถึงเหตุผลที่จัดกิจกรรมนี้ขึ้นก็เข้าใจได้ว่าคือ การนำเอาบ้านทรงไทย หรือ ศาลพระภูมิ ไปปล่อยลงในทะเลเพื่อให้เป็นที่อยู่ของปลา และสัตว์น้ำเล็ก ๆ แถบนี้..
…ซึ่งการที่จะปล่อยลงไปนั้นก็ไม่ได้สุ่มสี่สุ่มห้านึกอยากปล่อยตรงไหนก็ปล่อยนะครับ เพราะทั้งทางการท่องเที่ยว และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการส่งเสริมงานนี้ก็ได้มาตรวจสอบความพร้อม รวมถึงความเป็นไปได้ที่จะให้พื้นที่บริเวณน้ำลึกตรงนี้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของเหล่าสัตว์น้ำ เรียกว่าทุกขั้นตอนก็ได้รับการยินยอมเห็นดีจากทุกฝ่าย และที่สำคัญไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ.. แบบนี้ก็ถือว่าผ่านฉลุย
…โดยกิจกรรมนี้ก็มีสมาชิกจากบริษัทหน่วยงานองค์กรต่าง ๆ มาร่วมลงเรือลำเดียวกัน แล่นฝ่าคลื่นฝ่าลมออกจากฝั่งไปประมาณ 3 กม. พอถึงจุดที่ได้กำหนดไว้ก็ทำการปล่อยบ้านปลา(บ้านทรงไทย) ลงสู่ทะเล จนเป็นที่เรียบร้อยจึงเดินทางกลับเข้าฝั่ง เป็นอันเสร็จสิ้นกิจกรรมอย่างราบรื่น
…เป็นอันผ่านพ้นแบบทั้งเที่ยวแบบสัมผัสธรรมชาติกับโลกใต้ทะเล วิถีชีวิตชาวบ้าน ศาสนาวัฒนธรรม และกิจกรรมดีดี โดยทั้งหมดนั้นอยู่แค่ที่ จ.ชุมพร แต่จากนี้เราก็จะเดินทางเข้าสู่เส้นทาง จ.ระนอง ตามคอนเซปท์เที่ยว 2 เมืองติดต่อกัน..ก็เริ่มต้นกันที่สถานที่ไฮไลท์ติดอันดับต้น ๆ ของจังหวัดระนองก็คือ “ภูเขาหญ้า” หรือ “เขาหัวโล้น” ที่ในช่วงนี้หน้าฝนนั้นเห็นได้ชัดจากภาพว่าฉ่ำชุ่มชุ่มฉ่ำมาก ๆ เขียว ๆ สบายตา ในภาพผมมาเดินเล่นตอนเช้าประมาณ 8 โมง แดดยังไม่แรงมากกับหน้าฝนแบบนี้ก็เดินได้สบายเลย
…บวกกับอากาศดีดีลมพัดเย็น ๆ ด้วยแล้ว สามารถเดินเก๊กหล่อให้เพื่อนถ่ายได้อีกหลายใบเลย 5555
…ตัวผมเองเคยมาภูเขาหญ้าในช่วงหน้าร้อนช่วงแล้ง ๆ แห้งๆ ภาพที่เห็นก็จะตรงข้ามกับในภาพนี้เห็น ๆ เลยเพราะที่เขียว ๆ ก็จะกลายเป็นสีส้มสีแดงไม่มีหญ้าไม่มีอะไรปกคลุมเลยจนถึงได้อีกชื่อว่า “เขาหัวโล้น” แต่อย่างช่วงหน้าฝนแบบนี้เราจะสัมผัสได้ถึงความร่มเย็น สบายใจสบายตา.. แต่ถ้าถามว่าภาพแบบไหนสวยกว่ากันก็ถ้าให้ตอบตามมุมมองผม มันก็สวยกันคนละแบบนะ แต่ถ้าถามว่ามาช่วงไหนสบายกว่า.. บอกแบบไม่ต้องคิดเลยว่ามาหน้าฝนนี่แหละ ถ้าฝนหยุดเมื่อไหร่รับรองชื่นใจ…
…สถานที่ที่เราสามารถมาแวะเที่ยว หรือมาแวะกราบไหว้สักการะได้ใกล้ ๆ กับภูเขาหญ้าก็ยังมี “วัดบ้านหงาว” ที่อยู่ใกล้กันโดยไฮไลท์ที่น่าสนใจก็คือการเดินขึ้นไปจุดชมวิวด้านบนเขาที่ภายในวัด ซึ่งดูทดสอบสมรรถภาพร่างกายไม่น้อย เสียดายว่าเวลาผมน้อย และเร่งไปสักหน่อยทำให้ไม่ได้เดินขึ้นไปชมวิวด้านบนซึ่งคาดว่ามองลงมาคงต้องสวยแน่นอนยิ่งในฤดูเขียว ๆ แบบนี้ด้วยแล้ว..แหม่.. เสียดาย ๆ
…หากใครมาที่บริเวณแถวนี้หรือที่เรียกว่า “บ้านหงาว” แล้วก็อย่าลืมแวะมาบริเวณตลาดกันด้วยนะครับ มาแวะเดินเล่นชมบรรยากาศตลาด ๆ ตอนสาย ๆ แล้วนั่งกินโรตี กินไก่ทอดร้านอร่อย “โรตีนิสรา” จะได้ครบ ๆ ทั้งเที่ยวทั้งกิน ไหน ๆ เดินทางพักผ่อนทั้งทีแล้วต้องให้ครบทุกเรื่องราว.. เพื่อพร้อมออกเดินทางไปหาที่เที่ยวอื่น ๆ กันต่อ
…ไหน ๆ ว่ากันถึงเรื่องเติมพลังงานอาหารแล้วก็ขอเพิ่มพิกัดร้านน่านั่งบรรยากาศดีดีไว้อีกสักที่กับที่ “โตนเพชร กรีนเนอรี่” พิกัดนี้เลย https://goo.gl/maps/W1DwPNmvi3p%20%20 จริง ๆ แล้วที่โตนเพชร กรีนเนอรี่ก็จะมีที่พักด้วยนะ แต่ว่าตอนนี้ยังสร้างไม่เสร็จดีก็เลยแวะได้แค่นั่งจิบน้ำดื่มเครื่องดื่มอร่อย ๆ รับประทานอาหาร ภายใต้บรรยากาศริมลำธารเล็ก ๆ ที่ไหลมาจากน้ำตกโตนเพชร
…สำหรับใครที่จะแวะระหว่างทางพักผ่อน ผมว่าที่นี่เวิร์คเลยถ่ายรูปเล่นได้ใกล้ชิดธรรมชาติ นั่งพักฟังเสียงน้ำตก จิบน้ำดื่มโปรด ๆ โอ๊ยยย ฟิน…
…หลังจากพักผ่อนเต็มอิ่มกับบรรยากาศการจิบเครื่องดื่ม และรสชาติอาหารไปแล้วก็มาผ่อนคลายอิริยาบท และปลดปล่อยความเหนื่อยล้าให้กลับมากระปรี้กระเปร่ากันบ้างก็มุ่งหน้ากันต่อที่ “บ่อน้ำร้อนรักษะวาริน” ที่เป็นทั้งสวนหย่อม สวนสาธารณะสำหรับคนเมืองระนอง และนักท่องเที่ยวที่ผ่านไปผ่านมาให้ได้ผ่อนคลายความเหนื่อยล้ากัน
…โดยสถานที่นั้นต้องบอกว่าแบ่งสรรปันส่วนจัดไว้ลงตัวมาก คือผมเองเคยมาเมื่อหลายปีก่อนยังไม่มีการแบ่งโซนชัดเจนแบบปัจจุบันนี้ พอตอนนี้มาเจอเห็นเลยว่าพัฒนาขึ้นและมีการเอาใจใส่ มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ทุกอย่างดูมีระบบดูเป็นที่เป็นทางมากขึ้น.. ปรบมือให้เลย
…สำหรับใครที่เดินทางมายังบ่อน้ำร้อนหากเสร็จสิ้นภารกิจผ่อนคลายแล้วจะเติมพลังต่อ ร้านใกล้เคียงที่สุดหาง่ายที่สุดของบริเวณนี้ก็คือ “ร้านคุ้นลิ้น” อาหารไทยอร่อย ๆ มากมายรวมถึงเมนูฟิวชั่นผสมผสานที่ทางร้านครีเอทออกมาต้อนรับนักชิมทั้งหลายอยู่เรื่อย ๆ บวกกับการตกแต่งในร้านที่มีอะไรให้เราได้ถ่ายรูปเล่นระหว่างรอกับข้าวไม่น่าเบื่อ.. บอกเลยว่ารสชาติอาหารก็ผ่าน การใส่ใจลูกค้าก็ผ่านตามด้วยดีเช่นกัน ..
…เริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยโปรแกรมอบอุ่นร่างกายท่ามกลางธรรมชาติแบบสุดขีด (หรือใครจะแทรกเข้าช่วงไหนของระหว่างวันก็ตามสะดวก) แต่ที่แนะนำเลยคือช่วงเช้า หรือไม่ก็บ่ายคล้อยเย็น ๆ อากาศจะได้ไม่ร้อนมาก.. กับการนั่งเรือหางยาวชมบรรยากาศสองข้างทางของป่าโกงกางป่าชายเลน พร้อมกิจกรรมปลูกป่า / เรียนรู้ระบบนิเวศน์ / ดูวิถีชาวประมง / ชมฟาร์มปูนิ่ม / อิ่มอาหารทะเล และล่องแพเปียกที่ “คลองลัดโนด”
…รายละเอียดสนใจติดต่อได้ที่ “ท่องเที่ยวชุมชนตำบลม่วงกลวง 089-593-2442 / 082-278-6099”
…กิจกรรมที่คลองลัดโนดผมว่าเหมาะกับทุกเพศทุกวัยมาก หากเป็นเด็กก็จะได้เรียนรู้เรื่องราวของธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศน์ไปเป็นความรู้ ส่วนผู้ใหญ่ที่อาจรู้บ้างไม่รู้บ้างแต่ต้องการการพักผ่อนก็มากับเพื่อนมาอิ่มมาสนุกเล่นน้ำล่องแพ ผมว่าเป็นสถานที่ที่เราเอาร่างกายมาปลดปล่อยได้เต็มที่ และที่สำคัญคือช่วงเวลาที่เราอยู่ที่นี่มันเงียบสงบ เหมือนหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่งที่มีแต่เรากับธรรมชาติ..
…โปรแกรมของ “คลองลัดโนด” นี่ผมแนะนำเลยว่าควรมาเป็นอย่างยิ่ง.. ซึ่งหากใครลองได้มาแล้วจะเข้าใจ
…มาถึงโปรแกรมสุดท้ายที่ผมตั้งใจส่งเป็นชุด Finale ก่อนปิดรีวิวอัลบั้มการเดินทางทริปเที่ยว 2 เมือง ชุมพร-ระนองก็คือ “บ้านแหลมนาว” ต.นาคา อ.สุขสำราญ จ.ระนอง ซึ่งเราจะนั่งเรือหางยาวข้ามทะเลไปยังชุมชนบ้านแหลมนาวกัน แต่บอกไว้ก่อนว่าไม่ใช่ออกทะเลเวิ้งว้างไกล ๆ หรอกครับ เพราะตรงจุดบริเวณบ้านแหลมนาวนั้นเป็นแหลมที่ยื่นออกไปจากฝั่ง มีทั้งเขาสูงมีป่าไม้ ไม่มีถนนตัดผ่านหรือเข้าถึง ดังนั้นการเดินทางเดียวคือ “นั่งเรือหางยาว” …
…ในภาพที่เห็นก็คือบรรยากาศตั้งแต่เริ่มออกจากท่าเรือบริเวณอุทยานแห่งชาติแหลมสน
…ข้อมูลการเดินทางคร่าว ๆ ..
…เริ่มต้นให้มาลงเรือได้ที่ อุทยานแห่งชาติแหลมสน ท่าเรือบางเบน.. ติดต่อข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่พี่ทองหล่อเบอร์นี้เลย 089-261-3777 …ค่าเหมาเรือหางยาวไปกลับรับส่ง ประมาณ 1,000.- บวกลบต่อลำนั่งได้ประมาณ 10 – 12 คน ใช้เวลาประมาณ 20-30 นาทีไม่เกินจากนี้ / ส่วนค่านอนที่พักแบบโฮมสเตย์ต่อคืนต่อคนคร่าว ๆ ตีไปไม่เกินพันนึงเช่นกัน + อาหาร 3 มื้อ
…ในภาพคือบรรยากาศชุมชนหมู่บ้านชาวประมงริมเลเล็ก ๆ ที่แหลมนาว สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือความสงบที่ปราศจากความวุ่นวายใด ๆ เข้ามารบกวน
…บ้านพักก็จะอยู่ติดริมทะเลเลยเรียกว่าหลับไปพร้อมกับเสียงคลื่น พอตื่นมาแหงนหน้าปุ๊บก็เห็นพระอาทิตย์ขึ้นด้านหน้าหาดได้ ในรูปแบบราคาที่สุดแสนประหยัด แต่สิ่งรอบตัวราคามหาศาล…
…เรื่องของที่พักหากเราแจ้งกับทางผู้ใหญ่บ้านไว้(ตามเบอร์ข้างบน) ทางบ้านแหลมนาวก็จะเตรียมอาหารไว้ให้ อาจจะมีที่ต้องเตรียมมาเองก็คือพวกขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ซื้อมาตุนไว้สักหน่อยก็ดี .. ส่วนเรื่องของไฟฟ้าที่นี่ก็จะมีการปั่นไฟให้ในช่วงหัวค่ำแล้วหยุดประมาณ 4 ทุ่ม .. เรียกว่ามาพักกันแบบย้อนยุคไปสู่อีกรูปแบบจากอะไรเดิม ๆ
…ชาวบ้านชาวเลที่อยู่ที่นี่ก็น่ารักมีน้ำใจมีรอยยิ้มแทบทั้งนั้น เราเดินผ่านไปผ่านมาส่งยิ้มไปพร้อมทักทายพูดคุย ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศไปเรื่อยก็เพลิน ๆ ได้ทั้งภาพวิถีชีวิต ภาพของความเป็นอยู่แบบเรียบ ๆ ง่าย ๆ นอกจากได้พักผ่อนแล้วเรายังได้เห็นอะไรที่สังคมเมืองไม่มีแบบนี้ ซึ่งบางทีชีวิตเราก็อาจต้องการที่จะได้พบเห็นได้เจออะไรแบบนี้บ้าง
…ช่วงที่เดินทางมาเดือนพฤษภาคมก็อยู่ในช่วงฤดูฝนของที่นี่ ยังถือว่าโชคดีหน่อยเพราะฝนไม่ได้เทตกกระหน่ำมาสักเท่าไหร่แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความเย็นความชื้นของสภาพภูมิอากาศจนเกิดภาพที่สวยงามอย่างที่เห็นก็คือภาพของหมอกที่ลอยเหนือแนวเขาที่อยู่ยังด้านหน้าทะเลไกลออกไป
…เป็นภาพที่สวยดีนะเพราะปกติแล้วส่วนใหญ่พอพูดถึงทะเลเราก็จะต้องนึกถึงแสงแดด ความแรงของแดด น้ำใส ๆ ระยิบระยับ แต่พอได้มาเจอทะเลหน้าฝนแบบนี้มองในแง่ดีมันก็คืออีกรูปแบบของธรรมชาติที่เราอาจเคยมองข้ามไป หรืออาจไม่ค่อยได้เห็นในมุมนี้
…ความสุขคือสิ่งที่ทุกคนใคร ๆ ก็อยากมีอยากเจออยากได้ ความสุขนั้นอาจเป็นอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือยิ่งใหญ่ก็แล้วแต่เรามองให้ค่ามันมากน้อยแค่ไหน ซึ่งความสุขนั้นก็ต่างกันไปอีกว่าเราจะได้รับในรูปแบบไหน บางวันแค่ดูข่าวกีฬาทีมรักชนะก็มีความสุข บางครั้งทำงานไปด้วยความสุขแต่พองานเสร็จส่งงานไม่ผ่านกลับกลายเป็นทุกข์ก็มี .. แต่ความสุขที่เราได้สัมผัสจากสิ่งตรงหน้าในวันนี้มันชื่นใจ ชื่นสายตาเหลือเกิน…
…ภาพของทิวทัศน์ด้านหน้าที่สวย ๆ แถมด้วยบรรยากาศที่ปลอดโปร่งโล่งสบายแลดูสะอาดก็ยิ่งช่วยทำให้ระดับความสุขของเรามีมากขึ้นเป็นกอง…
…เช้าวันใหม่เริ่มต้นกับแสงแรกของวันที่ปกติแล้วผมเองจะเป็นพวกแพ้แสงเช้าคือแทบจะไม่ค่อยตื่นมาถ่ายรูปตอนเช้า ๆ เลยก็ว่าได้ เพื่อนตื่นกันหมดแต่ผมกลับนอน.. แต่กับเช้าวันนี้ทุกอย่างมันสดชื่นเกินกว่าจะนอนอยู่ในฝันต่อไป แหวกเต๊นท์ที่กางนอนออกมา(ลืมบอกไปว่าที่นี่ไม่ได้มีห้องพักเป็นห้องนะ จะเป็นเต๊นท์ หรือมุ้งก็แล้วแต่เราจะเลือกแบบไหน) โผล่พ้นหน้าเต๊นท์ออกไปก็เจอแสงเช้าแล้ว
…แบบนี้แหละที่ผมต้องการเพราะไม่ต้องแหกขี้ตาตื่นงัวเงียให้ซึมเซา.. มันจะมีสักกี่ครั้งในชีวิตที่เราจะได้สัมผัสบรรยากาศใกล้ชิดธรรมชาติได้ขนาดนี้
…ช่วงเช้ากับแสงสีทองระเรื่อ ๆ ที่อาจไม่ได้มีความอลังการของหมู่เมฆเท่าไหร่นัก แต่ด้วยบรรยากาศและช่วงเวลาเช้าวันนั้นบอกได้คำเดียวว่า “เลิศหรู” นี่แหละหนาบางทีการนอนที่พักต่างบ้านต่างเมืองอาจไม่ได้มีราคาสูงแต่ได้วิวแบบนี้ เรียกว่านอนบางที่คืนเป็นหมื่นก็หาวิวแบบนี้ไม่ได้…
…แสงเช้าค่อย ๆ ผ่านพ้นไป จากนั้นก็เริ่มทยอยกันอาบน้ำ และตั้งวงรับประทานอาหารเช้ากัน.. เป็นเช้าที่สดใส ๆ ส่งท้ายการเดินทางได้อย่างสมบูรณ์แบบ
…บริเวณสะพานปลาหน้าหมู่บ้านที่เป็นทั้งท่าเทียบเรือ และจุดที่ชาวบ้านนำสัตว์น้ำมาคัดแยกเพื่อนำไปเป็นอาหาร และไปขายส่งต่อ.. ตัวไหนเล็กก็ปล่อยกลับคืนทะเลไป ตัวไหนที่ได้ขนาดเอามาทำอาหารได้ก็คัดมาแค่ทำพอกิน ส่วนที่ดูแล้วสมน้ำสมเนื้อต่อการขายสู่ตลาดก็ปล่อยให้เป็นไปตามขั้นตอน…
…หนึ่งคืนหนึ่งวันนับตั้งแต่วันเมื่อวานที่มาอยู่บ้านแหลมนาว สิ่งที่เห็นได้ด้วยตาคือรอยยิ้ม ความสงบ ความเรียบง่ายของชุมชนบ้านแหลมนาวแห่งนี้.. ส่วนสิ่งที่ไม่เห็นด้วยตาแต่รับรู้ และสัมผัสได้ด้วยใจก็คือมิตรภาพ น้ำใจของชาวบ้านชาวเลที่อยู่ที่นี่…
…การเดินทางสิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้ก่อนจะออกจากฝั่งบ้านแหลมนาวเพื่อกลับไปยังสนามบินระนองมุ่งหน้าสู่กรุงเทพด้วยสายการบินนกแอร์เช่นเดียวกับขามาที่มาลงชุมพร…
…สรุปการเดินทางสถานที่ต่าง ๆ ที่ได้แวะไปไว้ตามนี้
- ชุมพร •
– หามุมเท่ ๆ สวย ๆ ถ่ายรูปเล่นกันที่ “สถานีรถไฟชุมพร” … แล้วแวะหาข้าวแกงอร่อย ๆ ทาน
– นอนเล่นโฮมสเตย์ หรือชมวิถีชุมชนที่หมู่บ้านม้าน้ำ “บ้านท้องตมใหญ่” ..
– ชื่นชมโลกใต้น้ำที่ “หมู่เกาะทะเลชุมพร เกาะง่ามน้อย เกาะง่ามใหญ่” ฯลฯ
– ชมวิวสวย ๆ ที่ “จุดชมวิวเขาดินสอ” จะได้เก็บที่ไฮไลท์ให้ครบ ๆ
- ระนอง •
– นั่งพักผ่อนจิบเครื่องดื่ม หรืออร่อยกับอาหารที่ “โตนเพชร กรีนเนอรี่”
– แวะกิน “ซาลาเปาที่หมู่บ้านทับหลี”
– แช่ “บ่อน้ำร้อนรักษะวาริน” แช่ทั้งเท้า หรือแช่ทั้งตัว หรือจะไปนอนอังบนพื้นปูนให้หลังนาบปูนอุ่น ๆ ก็สบายแผ่นหลังสุด ๆ
– แล้วต่อด้วยชมวิวสวย ๆ เท่ ๆ “ระนองแคนย่อน”
– อิ่มต่อที่ “ร้านคุ้นลิ้น” ร้านดังแห่งเมืองระนอง
– เก็บภาพสวย ๆ ที่ “ภูเขาหญ้า” แบบชุ่มฉ่ำ ๆ
– เดินเล่น “ชุมชนบ้านหงาว” ใกล้ ๆ ภูเขาหญ้า พร้อมกินโรตีท้องถิ่นอร่อย ๆ
– เพิ่มกิจกรรมความคีกคักท่ามกลางธรรมชาติด้วยการนั่งเรือหางยาวชมป่าโกงกาง ดูฟาร์มปูนิ่ม กินอาหารทะเล พร้อมล่องแพเปียกที่ “คลองลัดโนด”
– ปิดท้ายด้วยไปนอนแอ้งแม้งแบบกางมุ้งนอน กางเต๊นท์นอนในบ้านริมทะเลที่ “บ้านแหลมนาว” ใกล้ ๆ อุทยานแห่งชาติแหลมสน
…ฝากส่งท้ายไว้พอเป็นมุมมองส่วนตัวกับการเดินทางครั้งนี้กับโครงการ “12 เมืองต้องห้ามพลาดพลัส” ที่สนับสนุนโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และสายการบินนกแอร์ที่ช่วยให้การเดินทางรวดเร็ว ประหยัดเวลาเลือกเดินทางได้ทั้งสนามบินชุมพร หรือระนอง แล้วแต่สะดวก
…โดยเส้นทาง และสถานที่ที่กล่าวมาเราสามารถขยับสับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับแผนการเดินทางของแต่ละคนได้สบาย ๆ เพราะสถานที่ในจังหวัดไม่ไกลกันมาก หรือหากจะกินเวลาเดินทางสักหน่อย แต่ถนนหนทางขับรถราบเรียบไปเรื่อย ๆ สบาย ๆ ร้อยโลก็ยังถือว่าชิว ๆ เพลิน ๆ
…สุดท้ายก็เที่ยวจบทริปเดินทางกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยก็มุ่งหน้าทำงานต่อไป เตรียมรอคอยการเดินทางครั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้นตามประสาคนรักการเดินทาง และการถ่ายภาพอย่างผม.. ซึ่งจะเป็นที่ไหนนั้นไว้เจอกันใหม่ในอัลบั้มถัด ๆ ไป .. ขอบคุณทุกคนที่ตามมาอ่าน และขออวยพรให้ได้เดินทางได้เที่ยวกันทุกคนนะครับ ^^ #เที่ยวเล่นผ่านเลนส์ #ForzanuFoto #เมืองต้องห้ามพลาดพลัส #เที่ยวต่อได้อีกเมือง #Nokair #SmilingAcrossAsia
…ฝากไว้กับคลิปรวมที่เที่ยวจากรีวิวนี้ ลองเปลี่ยนบรรยากาศมาดูกันแบบเคลื่อนไหว ๆ กันบ้างแล้วอย่าลืมหาเวลาหาช่วงเหมาะ ๆ เดินทางไปเที่ยวกันนะครับ.. ^^