…สวัสดีเพื่อน ๆ ทุกคนครับรีวิวนี้ขอต้อนรับสู่ จังหวัดสุโขทัย อีกหนึ่งจังหวัดที่เต็มไปด้วยเรื่องราวประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยอดีตกาลที่ล่วงเลยผ่านมาจนปัจจุบันให้พวกเราทุกคน และเด็กรุ่นใหม่ ๆ ได้เรียนรู้ศึกษาถึงที่มาที่ไปเหตุการณ์ต่าง ๆ ผ่านศิลปะวัฒนธรรมที่ทิ้งไว้ซึ่งร่องรอยให้เราได้เห็นกันอยู่ในทุกวันนี้ ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ผมเองได้รับมอบหมายจากหน่วยงาน “องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน(องค์การมหาชน)หรือ อพท.” โดยผมได้รับมอบหมายให้เดินทางไปยัง “อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย” เพื่อเก็บภาพสวย ๆ เรื่องราวดีดีของที่นี่มาฝากเพื่อน ๆ กัน ..
…และเพื่อให้เข้ากับยุคสมัยโซเชี่ยลก็ได้มีแอพพลิเคชั่นทางสมาร์ทโฟนที่ร่วมใช้ในการเดินทางด้วยก็คือ “Creative Journey” ที่จัดทำขึ้นโดยองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน(องค์การมหาชน) หรือ อพท. ซึ่งออกแบบขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกในการท่องเที่ยวในอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร และเขตชุมชนโดยรอบ.. ตามลิ๊งค์นี้ไปได้เลยครับ www.creativejourneyapp.com ใครสนใจลองโหลดใช้งานดูหน้าดูตากันไว้ก่อนได้เลย .. และปิดท้ายอัลบั้มรีวิวนี้ด้วยงานร่วมจุดเทียนอาลัยถวายแด่พ่อหลวงของปวงชนชาวไทยทุกคน ซึ่งวันที่ผมเดินทางมานั้นตรงกับวันครบรอบ 30 วันพอดี ซึ่งในงานนั้นก็ได้มีการจัดขึ้นที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย จัดไว้อย่างยิ่งอลังการเพื่อเป็นการน้อมรำลึกให้กับพ่อของพวกเรา … เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเราเริ่มเดินทางไปพร้อมกันเลยครับ
*******************************************
…เริ่มต้นกันที่อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยกันเลยครับ.. เมื่อเดินทางมาถึงก็จอดรถไว้ที่ลานจอดรถด้านหน้าซึ่งทางอุทยานจะไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวนำรถขับเข้าไปเหมือนแต่ก่อน(เมื่อ 2 ปีก่อนผมมาสามารถขับไปได้แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว) นั่นหมายความว่ารถทุกคันจะต้องจอดอยู่ที่ลานจอดรถ แล้วใช้บริการรถรางของอุทยานนำเที่ยวแล้วจึงลงเดินเป็นตามจุดไป นอกจากนั้นก็ยังมีจักรยานให้เช่าปั่น หรือใครที่แรงเยอะจะเดินเอาก็ได้เช่นกัน..
…ก่อนอื่นเลยอย่างที่ได้กล่าวไปว่าผมได้ทดลองใช้แอพพลิเคชั่น Creative Journey ช่วยในการเดินทางในครั้งนี้ซึ่งในโปรแกรมก็จะมีทั้งข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว ร้านค้าร้านอาหาร จุดที่น่าสนใจ พร้อมรายละเอียดของแต่ละที่ไว้อยู่เยอะแยะมากมายไม่ว่าจะเป็นเวลาเปิดปิดของแต่ละสถานที่ เบอร์โทรศัพท์ ทั้งยังมีหมวด Audio Guide ที่เราสามารถฟังเสียงบรรยายไปได้ด้วย.. เรียกว่าเราสามารถเปิดอ่านเป็นข้อมูลไกด์ไลน์ไว้ก่อนเดินทาง หรือเปิดมาอ่านตอนว่าง ๆ กันได้ง่าย ๆ เลย
…วันที่ผมเดินทางมานั้นตรงกับวันอาทิตย์ทำให้ยังเห็นนักท่องเที่ยวอยู่บ้าง แม้จะไม่มากเท่าที่ควรอาจเพราะวันนี้ตรงกับช่วงเทศกาลลอยกระทงคนจึงให้ความสนใจไปที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยมากกว่า .. ไม่รอช้าหลังจากจอดรถได้เรียบร้อยก็เดินมาที่จุดเริ่มซึ่งมีรถรางให้บริการอยู่สำหรับเราคนไทยก็คนละ 30.- ครับ โดยรถจะแวะตามจุดสำคัญวัดสำคัญอยู่ประมาณ 4 จุดหลัก ซึ่งก็จะรับส่งวนไปเรื่อย
…วัดแรกที่เราจะไปกันก็คือ “วัดเขาสุวรรณคีรี” โดยวัดนี้รถจะไม่จอดหน้าวัดนะครับ เราต้องบอกคนขับแล้วเค้าจะจอดให้ตรงทางแยกที่ใกล้ที่สุดแล้วให้เราเดินเท้าต่อขึ้นเนินเขาไปประมาณ 10 นาทีก็ถึงครับ (แต่เหนื่อยเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน 555) วัดเขาสุวรรณคีรีเป็นหนึ่งในโบราณสถานสำคัญของอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย ตั้งอยู่บนเนินเขาเดียวกันกับวัดเขาพนมเพลิงแต่อยู่คนละยอด ซึ่งสองวัดนี้จะมีทางเดินเชื่อมกันอยู่ …ตัววัดเขาสุวรรณคีรีนั้นเราสามารถมองเห็นยอดเจดีย์ที่สูงเด่นเป็นสง่าได้ตั้งแต่ทางเข้าตรงจุดขายบัตรเนื่องจากตั้งอยู่บนเนินเขาทำให้เห็นได้ชัดเจน ..
…เดินเล่นหามุมถ่ายภาพกันไปเรื่อย ๆ ด้านบนนี้จะมีเสียงของนกร้องดังอยู่ตลอดเพราะอยู่บนเนินเขา เดินไปเดินมาก็อาจเจอรังนกได้ง่าย ๆ เลยหลังจากนั้นเราไม่ต้องเดินย้อนกลับไปทางเดิมนะครับ เพราะอย่างที่บอกว่ามีทางเดินเชื่อมต่อไปยังวัดเขาพนมเพลิงซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกแล้วจะเป็นจุดต่อไปที่เราจะเดินไปกัน
…จากวัดเขาสุวรรณคีรีเดินมาประมาณ 5 นาทีผ่านทางเชื่อมก็จะเข้าสู่เขตของ “วัดเขาพนมเพลิง” ทางขึ้นวัดมีสองทาง คือ ทางด้านหน้าวัด และข้างวัดซึ่งทางข้างวัดก็คือทางที่เราเดินมา ส่วนถ้าจากหน้าวัดนี่จะเป็นทางเดินที่จากด้านหลังวัดช้างล้อมที่อยู่ด้านล่าง โดยทางขึ้นเป็นบันไดศิลาแลงขนาดกว้างขวาง
…โบราณสถานที่อยู่บนเนินเขานี้ประกอบด้วย เจดีย์ประธานทรงลังกา ก่อด้วยศิลาแลง ตั้งแต่ก้านฉัตรขึ้นไปพังทลายหมด และมีวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปที่ยังมีความสมบูรณ์อยู่พอสมควร.. บรรยากาศโดยรอบด้านบนของทั้งสองวัดนี้จะค่อนข้างเงียบ จะได้ยินดังสุดก็คงเป็นเสียงของนกกระยางที่บินไปมา และทำรังอยู่ด้านบนเนินเขานี้กันมากมายหลายร้อยตัว…
…จากนั้นก็เดินลงด้านล่างสู่วัดลำดับต่อไปก็คือ “วัดช้างล้อม” พื้นที่ของวัดช้างล้อมอยู่ภายในกำแพงเมืองเกือบกึ่งกลางตัวเมืองศรีสัชนาลัย .. มีจุดเด่นอยู่ที่เจดีย์ประธานทรงลังกา มีกำแพงแก้วสี่เหลี่ยมจัตุรัสล้อมรอบ มีช้างปูนปั้นเต็มตัวประดับโดยรอบฐานทั้ง 4 ด้าน รวมทั้งสิ้น 39 เชือก… ใช้เวลาเดินวนสักรอบถ่ายภาพหามุมไปเรื่อยอากาศวันนี้ค่อนข้างร้อนถึงร้อนมาก แต่มองในแง่ดีก็คือได้ท้องฟ้าที่สดใสสวยงาม.. ก็ทำให้ได้ภาพสีสด ๆ กลับมาง่าย ๆ เลย
…ถัดมาในฝั่งตรงข้ามกับวัดช้างล้อมก็คือ “วัดเจดีย์เจ็ดแถว” ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกันพอดีแค่ถนนกั้น วัดเจดีย์เจ็ดแถวเป็นโบราณสถานที่สำคัญ คือ เจดีย์ประธานรูปดอกบัวตูมอยู่ด้านหลังพระวิหาร และมีเจดีย์ราย(เจดีย์ที่มีขนาดเล็กสร้างเรียงรายอยู่รอบ ๆ บริเวณเจดีย์ประธาน โดยจะอยู่ถัดออกมาจากเจดีย์ประธาน หรือเรียกอีกชื่อว่าเจดีย์บริวารก็ได้เช่นกัน)รวมทั้งอาคารขนาดเล็กแบบต่าง ๆ กัน 33 องค์ และล้อมรอบด้วยกำแพงแก้วอีกชั้นหนึ่ง
…พื้นที่ของวัดเจดีย์เจ็ดแถวจะกว้างใหญ่กว่าวัดช้างล้อม ทำให้ต้องใช้เวลากันสักหน่อย ซึ่งผมเองก็ถ่ายภาพมาหลายใบอยู่ทั้งมุมกว้าง มุมเจาะแต่จะนำมาโพสลงหมดคงไม่ไหว จึงคัดแค่บางส่วนมาให้ชมกัน.. ในการเที่ยวถ่ายภาพโบราณสถานลักษณะนี้การเลือกกล้องเลนส์ก็สำคัญส่วนใหญ่ผมก็จะใช้เลนส์มุมกว้างเพื่อให้เก็บภาพได้ครบ ๆ เพราะตัวเจดีย์ที่ค่อนข้างใหญ่จะได้ไม่เสียองค์ประกอบภาพ…
…หลังจากถ่ายรูปจนพอใจกันไปสองวัดติดกันก็มายืนหน้าวัดเพื่อรอรถรางคันถัดไปแล่นมา โดยที่เราไม่ต้องจ่ายค่าบริการเพิ่มแล้วก็ยืนรอรถมาแล้วขึ้นได้เลย .. จริง ๆ แล้วถ้าเป็นช่วงเย็นหรืออากาศไม่ร้อนผมว่าเราสามารถเดินเล่น หรือปั่นจักรยานกันแบบชิว ๆ ได้เลย แต่กับช่วงสาย ๆ กลางวันนั้นการนั่งรถรางก็จะช่วยเซฟพลังงานเราไปได้ค่อนข้างเยอะ
…มาถึงวัดถัดไปก็คือ “วัดนางพญา” ตั้งอยู่ในพื้นที่ใกล้กับกำแพงเมืองด้านทิศใต้ เป็นโบราณสถานที่สำคัญประกอบด้วยเจดีย์ประธานเป็นเจดีย์ทรงกลมตั้งอยู่บนฐานประทักษิณ.. .บรรยากาศโดยรอบที่วัดนางพญาค่อนข้างร่มรื่นเพราะพื้นที่ของตัวเจดีย์ไม่ใหญ่มากนัก ทำให้ต้นไม้ปกคลุมได้ทั่วถึง.. พอให้เดินถ่ายภาพได้สบาย ๆ …
…ผ่านพ้นไป 5 วัดซึ่งเป็นโบราณสถานสำคัญได้แก่ วัดเขาสุวรรณคีรี / วัดเขาพนมเพลิง / วัดช้างล้อม / วัดเจดีย์เจ็ดแถว / วัดนางพญา .. ถึงเวลาเปลี่ยนบรรยากาศการเที่ยวกันบ้างโดยมากันที่ “กลุ่มสังคโลกดินเผาบ้านเกาะน้อย ประเสริฐ แอนติค” ที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับงานเครื่องสังคโลกการปั้นการเผา โดยตำแหน่งพิกัดร้านนั้นก็ยังถือว่าอยู่ในบริเวณอุทยานก็ว่าได้ goo.gl/xsOtOL ตามลิ้งค์นี้ไปได้เลยครับ
…ร้านประเสริฐแอนติค ก่อตั้งโดยนายประเสริฐ มโหธร เป็นแหล่งผลิตสินค้างานเครื่องสังคโลกที่มีความประณีตและสวยงามที่สืบต่อจากรุ่นสู่รุ่นถ่ายทอดวิชาความรู้ความสามารถกันมาเรื่อย ๆ ที่นี่ก็จะเป็นทั้งที่จำหน่ายขายสำหรับนักท่องเที่ยวที่ผ่านมาแล้วสนใจก็สามารถซื้อเครื่องสังคโลกติดกลับไปกันได้เลย.. ไม่ว่าจะเป็นทั้ง เครื่องชามสังคโลก รูปปั้น สินค้าของตั้งโชว์ สินค้าต่าง ๆ .. และมากไปกว่านั้นก็คือเราสามารถสามารถสั่งทำได้ตามต้องการโดยการส่งแบบให้แล้วตกลงรายละเอียดกัน
…ผมเองก็ไม่เคยเห็นการทำเครื่องสังคโลกเหล่านี้มาก่อน จะเห็นก็คือแบบที่ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว .. วันนี้เลยลองแบ่งเวลาสัก 30 นาทีมาดูเรียนรู้แบบคร่าว ๆ ก็พอเห็นได้ว่ากว่างานแต่ละงาน ข้าวของเครื่องใช้แต่ละชิ้นจะสำเร็จนั้นไม่ใช่ง่าย ๆ เลย .. ไม่ว่าจะเป็นแรกเริ่มตั้งแต่การนำดินที่ใช้มาทำให้ลงตัว การปั้นด้วยเครื่องให้ออกมาเป็นรูปทรงที่ต้องการ ไหนจะต้องผ่านการวาดที่ต้องใช้ความชำนาญ และความอดทนอย่างสูงด้วยแล้ว.. เห็นแล้วก็ได้แต่ทึ่งกันไปครับ
…หากใครมีเวลาจะลองแวะมาดูสักหน่อย ผมว่าก็น่าสนใจไม่น้อยเพราะเราจะได้เห็นกับตาเลยว่างานทำมือของคนไทยเหล่านั้นละเอียดอ่อนพิถีพิถันจริง ๆ .. ผมลงเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้นะครับเผื่อใครสนใจจะเดินทางมาก็สอบถามกันได้ 081-972-9112
…และก็มาถึงช่วงเวลาก่อนพระอาทิตย์จะลาลับฟ้าไปมาส่งท้ายเดินชมความสวยงามของวัดอีกแห่งภายในอุทยานกันที่ “วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง” วัดนี้มีพื้นที่กว้าง สามารถเดินครีเอท หามุมสวย ๆ ได้เยอะแยะมากมาเลย .. เดิมทีสันนิษฐานว่าวัดแห่งนี้เป็นศูนย์กลางของเมืองเชลียง หรือเมืองศรีสัชนาลัยเดิมในราวพุทธศตวรรษที่ 18 .. ซึ่งต่อมาในสมัยสุโขทัยวัดแห่งนี้ก็ยังคงเป็นศาสนสถานที่มีความสำคัญอย่างสูงดังเห็นได้จากการสรรค์สร้างงานศิลปกรรมชิ้นต่าง ๆ ภายในวัด…
…ตัวบริเวณวัดนั้นอยู่เป็นลักษณะพื้นที่ต่ำกว่าถนนรอบ ๆ มีกำแพงล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน มีเจดีย์ประธานอยู่ตรงกลาง… ถ้ามาช่วงเย็นหากหันหน้าเข้าพระพุทธรูปเราก็จะได้มุมย้อนแสงกลับไป แต่หากมาเช้าฟ้าก็จะเข้มที่ด้านหลังพระพุทธรูปก็เลือกเอาครับว่าอยากได้ภาพแนวไหน…
…ส่งท้ายยามเย็นกันที่บริเวณสะพานเหล็กสีเขียว ๆ ที่ใช้เป็นเส้นทางสัญจรของชาวบ้านในละแวกนี้ ความโดดเด่นของสะพานแห่งนี้ก็คงอยู่ที่เป็นจุดพระอาทิตย์ตกที่สวยงามอีกแห่งภายในอุทยานด้วย ในกรณีที่เราไม่ได้เน้นภาพของวัด บริเวณนี้ก็ได้บรรยากาศวิถีชีวิตไปอีกแบบ…
…แสงแดดยามสายยามบ่ายที่ร้อนแรงมาตลอดวันก็ค่อย ๆ คลายตัวลง.. ลมเย็นเริ่มพัดมาบ้างเป็นบางจังหวะให้พอชุ่มชื่นพัดเอาเหงื่อให้แห้งไปได้บ้าง.. เป็นอีกหนึ่งวันเดินทางที่ได้เห็นอะไรมากกว่าเดิม
…วันรุ่งขึ้นผมออกจากบริเวณ อ.ศรีสัชนาลัย เพื่อเตรียมมุ่งหน้าไปที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ซึ่งอยู่ห่างไปประมาณ 60 กิโลเมตร .. เส้นทางนั้นขับง่ายมากถนนโล่งพร้อมกับวิวสวย ๆ ข้างทางที่ให้เราได้พบเห็นตลอด ยิ่งในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้รวงข้าวก็เริ่มเป็นสีเหลืองทองอร่ามสลับกับสีเขียวมองแล้วสวยงาม ..
…อย่างที่ได้บอกไปว่าจุดมุ่งหมายของผมคืออุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย แต่จุดประสงค์หลักที่ผมจะไปก็คือที่ตัวสุโขทัยนั้นมีจัดงานจุดเทียนอาลัยถวายพ่อหลวงในตอนค่ำของวัน ทำให้เราต้องเผื่อเวลาไว้สักนิดเพราะคงมีชาวบ้าน และนักท่องเที่ยวให้ความสนใจจะมาร่วมพิธีกันเยอะ…
…สักช่วงบ่าย ๆ ก่อนถึงตัวอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยเราก็แวะพักดับร้อนจิบกาแฟกันสักหน่อยที่ร้าน Indy Home Coffee & Drinks ก่อนถึงตัวอุทยานเล็กน้อย.. ก็นั่งเล่นไปไม่นานสักประมาณ 20-30 นาที ให้พอเปลี่ยนบรรยากาศจากแอร์รถมาเป็นแอร์เย็น ๆ จากในร้านดมกลิ่นหอม ๆ ของกาแฟบ้าง.. ร่างกายจะได้กระฉับกระเฉงขึ้นมาหน่อย ก่อนที่จะขับรถต่อไปยังอุทยานที่อยู่ข้างหน้าไม่ถึง 1 กิโลจากร้าน
…ผมมาถึงอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยตอนประมาณ 4 โมงกว่า ซึ่งทุกปีที่อุทยานนี้ก็จะมีการจัดงานกิจกรรมลอยกระทงกันอย่างครึกครื้นเป็นที่ประทับใจของทั้งชาวสุโขทัยเอง และผู้ที่เดินทางมาเที่ยวไม่ว่าจะชาวไทยหรือชาวต่างชาติ แต่ปีนี้อย่างที่เราทราบกันดีว่าจะไม่เหมือนทุกปีที่ผ่านมาเนื่องจากการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พ่อหลวงของชาวไทยทุกคน จึงให้ทุกงานรื่นเริงหรือทุกกิจกรรมต้องระงับไว้ คงเหลือไว้แค่บางพิธีที่เป็นประเพณีให้สืบสานกันต่อ ซึ่งทางอุทยานจึงได้มีจัดพิธีจุดเทียนอาลัยถวายแด่พ่อหลวงในตอนช่วงหัวค่ำ ส่วนงานลอยกระทงก็ยังมีจัดเพียงแต่จะไม่มีเสียงเพลง หรือจุดพลุไฟต่าง ๆ
…ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากทุกฝ่ายทั้งทางจังหวัด และภาคเอกชนที่เข้ามาร่วมช่วย ไม่เว้นแม้แต่ชาวบ้านชาวสุโขทัยที่พร้อมใจกันเดินทางมาเพื่อร่วมงานนี้
…ผมเองไม่ได้เดินถ่ายภาพในอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยมากสักเท่าไหร่นัก เพราะบอกตรง ๆ ว่าสภาพจิตใจนั้นยังค่อนข้างเศร้า ถึงแม้ว่าวันเวลาจะผ่านมา 30 วันพอดีแล้วก็ตาม แต่ทุกครั้งที่เห็นภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ หรือภาพจากรายการทีวีก็ยังน้ำตาคลอแทบทุกครั้ง… หากเราคิดว่าความรักที่เรามีให้ใครสักคนนั้นมากมายแค่ไหน ผมว่าความรักที่พระองค์มีให้พวกเราชาวไทยนั้นย่อมไม่แตกต่างกัน …
…ภาพของผู้คนที่มากันอย่างมากมายในวันนั้น หรือภาพที่ได้เห็นไปเมื่อวันที่มีการร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีที่บริเวณท้องสนามหลวงนั้นตอบผมได้อย่างดีว่าสิ่งที่พวกเราทุกคนแสดงออกนั้น หากท่านได้เห็นคงทำให้พ่อของเราประทับใจ และต้องมีความสุขอยู่เป็นแน่…
…เวลาผ่านล่วงไปทีละช้า ๆ ผู้คนเริ่มมากันมากขึ้น.. ระหว่างนั้นก็จะมีเสียงประกาศออกลำโพงจากเจ้าหน้าที่ทีมที่คอยจัดการงานพิธีนี้ให้ทุกคนสำรวม และพร้อมสำหรับการเริ่มพิธีการร้องเพลงเพื่อเป็นการรำลึกถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ภายในงานก็มีการวางตะคันไว้เพื่อเป็นที่วางเทียนให้ผู้ที่มาได้จุดเทียนลงบนตะคัน พร้อมทั้งเทียนที่ทางผู้จัดได้มีการแจกแก่ทุกคนที่มา..
…บรรยากาศในค่ำคืนนี้เป็นไปอย่างสงบ สายลมที่พัดมานอกจากจะให้ความเย็นสบายแล้วอีกสิ่งหนึ่งที่ได้แต่คิดปลอบใจไว้ก็คือเหมือนความร่มเย็นที่พ่อหลวงมีให้ต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างพวกเรามาช้านาน จนถึงวันสุดท้ายที่ท่านต้องจากไป ..
…ทุกอย่าง ณ ค่ำวันนั้นเงียบสงบปราศจากเสียงใด ๆ นอกไปจากเสียงของบทเพลงที่พวกเราทุกคนร่วมใจกันร้องเพลงเพื่อส่งเสียงไปถึงฟากฟ้าให้พ่อได้ยิน และก็น่าชื่นใจที่ในงานผมยังได้เห็นชาวต่างชาติร่วมใจใส่ชุดสีดำ และมายืนร่วมไว้อาลัยเช่นเดียวกับเรา.. ไม่เว้นแม้แต่เด็ก ๆ ตัวน้อย ๆ ที่มากับพ่อแม่โดยไม่มีอาการงอแง ก็ถือว่าเป็นภาพที่งดงามได้เช่นกันหากจะมองในด้านที่สวยงาม…
…เสียงเพลงที่ร่วมร้องให้พ่อหลวงในวันนั้นค่อย ๆ ผ่านไปช้า ๆ อย่างพร้อมเพรียงเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนกับที่ทุกคนที่มาในงานพร้อมใจแสดงความรักต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช แม้จะผ่านไปแล้ว 30 วันพอดี แต่น้ำตาของชาวไทยนับแต่วันที่สูญเสียพ่อหลวงผู้เป็นที่รักไปยังไม่มีท่าทีว่าจะเหือดแห้ง หรือลดลงไปแต่อย่างใด.. ตรงข้ามกับยิ่งทำให้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านได้ทำไว้บนผืนดินไทยแห่งนี้
…ภาพของผู้ชายคนหนึ่งที่เดินบุกป่าฝ่าดง เดินเท้าด้วยความคล่องแคล่วเหมือนว่าเคยเดินไป ณ ที่นั้นที่นี้มาแล้ว ทั้งที่อาจจะเป็นที่ที่ชายผู้นี้ไม่เคยไป ในมือไม่มีอาวุธใด ๆ มีเพียงแค่ปากกา แผนที่ และกล้องที่สะพายอยู่ตลอดเวลา และพร้อมเสมอที่จะยิ้มจะนั่งลงพูดคุยถามไถ่กับชาวบ้านอย่างไม่ถือตัว.. หากไม่บอกเราคงคิดว่าคนคนนี้คงเป็นหัวหน้างานออกตรวจพื้นที่ใด ๆ สักอย่าง …
…แต่ความจริงแล้วชายผู้นี้คือ “พระราชาของประเทศ” ผู้ที่อยู่สูงสุดของแผ่นดินไทย ผู้ที่ทรงทำงานหนักเพื่อให้ทุกคนในชาติได้มีความสุขอยู่ดีกินดีโดยไม่เคยหวังอะไรมากไปกว่าให้คนในชาติรัก และปรองดองสมัครสมานสามัคคีกัน..
…เวลานั้นยังคงเดินต่อไปผ่านไปเรื่อย ๆ พ่อได้เหนื่อยเพื่อพวกเรามามาก ถึงเวลาแล้วที่พ่อจะได้นอนหลับให้คลายกังวลให้มีความสุขไม่ต้องเหนื่อยเหมือนที่เคยมา .. แต่เวลาของพวกเราคนไทยทุกคนนั้นยังไม่หมด พวกเรายังมีภาระหน้าที่ของแต่ละคนกันอีกมากมายหลายอย่างที่ต้องเอาใจใส่ดูแลช่วยกันไปอีกแสนนาน นั่นคือหน้าที่ที่ลูกของพ่อจะต้องปฏิบัติ และดำเนินชีวิตต่อไป…
…คงมีถ้อยคำเป็นร้อยล้านคำหากจะให้พูดถึงพ่อหลวงของเรา แต่ไม่รู้จะมีถ้อยคำไหนที่จะมาบอกกล่าวแทนความรู้สึกพวกเราทั้งหมดที่มีต่อท่าน.. สิ่งที่พวกเราทุกคนจะทำได้ดีที่สุดคือ ทำงานกันด้วยหน้าที่มีความสุจริตในสิ่งที่ตัวเองทำ มอบความรัก รักในกันและกัน และความสามัคคีก็จะตามมาซึ่งคงเป็นสิ่งที่พ่อหลวงของเราอยากเห็นมากที่สุด และคงภูมิใจในตัวพวกเรา .. เหมือนที่พวกเราทุกคนได้รู้สึกว่าเราโชคดี เรารัก และเราภูมิใจที่ได้เกิดในแผ่นดินของพระองค์ “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช”