🇮🇳 อินเดียไม่เพลียอย่างที่คิด… 4 เมืองคลาสสิคแคว้นราชสถาน 🇮🇳

 

…เสียงแรก “ไม่เอาอ่ะ” “สกปรกน่ากลัวไม่เอาด้วยหรอก” “ขอบายนะถ้าจะไปที่นี่” “ไม่เห็นมันจะมีอะไรเลย” “ไม่ต้องมาชวนนะ ข้ามไปได้เลย” ฯลฯ

…เสียงสอง “เฮ๊ยยย !! มันเจ๋งว่ะ” “โอยยย อยากกลับไปอีก” “ต้องมาซ้ำให้ได้” “มันยอดมากเกินคาดหวัง” “ชั้นรักประเทศนี้จัง” ฯลฯ

…เชื่อเลยว่าสองเสียงนี้จะต้องเคยผ่านหูเรา ๆ ชาวชอบเที่ยวกันมาแล้วแน่นอน เมื่อมีใครเอ่ยขึ้นมาถึงคำว่า “อินเดีย” และกล้าบอกเลยว่าผมก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่เคยคิดจะมีแพลนหรือตั้งใจไปยังประเทศนี้เลย(ยกเว้นถ้าเป็นที่เลห์ลาดักห์นะครับ เพราะผมชอบถ่ายวิว) เข้าเรื่องต่อคือว่านี่เป็นที่หนึ่งที่ผมมองข้ามมาตลอดไม่ว่าเวลาจะได้ยินใครพูดใครกล่าวว่ามันดีงาม มันเจ๋ง มันพีค ต้องไปสักครั้งแล้วจะรู้ว่ามันดีงามแค่ไหน แต่ด้วยภาพความแออัดยัดเยียดเบียดเสียดทั้งคนทั้งฝุ่นทั้งขยะ บลา ๆๆๆ .. เพราะไอ้ที่ฟังมาเยอะนี่แหละครับเลยทำให้สร้างกำแพงกั้นความว๊อนท์ขึ้นมาเวลาใครพูดถึงผมเองก็จะเฉย ๆ ตลอด.. อารมณ์ไม่อยากรักไม่อินและไม่อยากซึ้งด้วยประมาณนั้น

…แต่แล้วด้วยภาระหน้าที่การงานเหมือนฟ้ามีตาก็ได้มีเหตุให้ต้องเดินทางไปดินแดนภารตะเข้าจนได้ สุดท้ายก็คิดว่าเอาวะลองเปิดใจทำลายกำแพงความเชื่อที่เคยได้ยินมาดูสักครั้งให้หายคาใจกันไปข้าง .. จนในที่สุดถึงได้รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยคิดมามันไม่ใช่อย่างนั้นทั้งหมด และผมเชื่อว่าใครหลายคนก็อาจเป็นแบบผมที่มองภาพของประเทศนี้ไว้ในแง่ที่ไม่ค่อยสวยงามสักเท่าไหร่.. ซึ่งผมว่ามันไม่ยากเลยหากจะลองอ่านรีวิวนี้ดูแล้วเราอาจจะได้รู้ว่า “อินเดีย..ไม่เพลียอย่างที่คิด”… ว่าแล้วเราค่อย ๆ อ่าน ค่อย ๆ เที่ยวกันไปตามผมเลยนะครับ

**********************

…อุปกรณ์ถ่ายภาพสำหรับทริปนี้…

• NIKON D750 •

• AF-S NIKKOR 14-24mm f/2.8G ED •

• AF-S NIKKOR 35mm f/1.4G •

• AF-S NIKKOR 58mm f/1.4G •

• AF-S NIKKOR 70-200mm f/2.8E FL ED VR •

…ขอเริ่มต้นในส่วนของการเดินทางกันก่อนนะครับ แล้วรายละเอียดอื่น ๆ จะตามมา…

  • การเดินทางสู่เมืองจัยปูร์ •

– สายการบินแอร์เอเชียมีเส้นทางบินตรงดอนเมือง – ชัยปุระ(จัยปูร์) เช็คไฟล์ทเที่ยวบินได้ที่ www.airasia.com / เที่ยวบินของแอร์เอเชียจะออกจากท่าอากาศยานดอนเมืองประมาณ 21.30 น. และจะถึงสนามบินจัยปูร์ตอน 00.20 น. ตามเวลาประเทศอินเดียที่ช้ากว่าไทย 1 ชั่วโมงครึ่ง ก็นั่งกันประมาณ 4 ชั่วโมง .. ซึ่งแม้อาจจะถึงดึกไปสักหน่อยแต่ข้อดีคือไปถึงตอนดึกเข้าที่พักแล้วนอนพักกันเลย เรื่องเที่ยววันรุ่งขึ้นค่อยลุยกันยาว ๆ เลย… / ในทางกลับกันก็เช่นกันไฟลท์ดึกที่มาส่งเราเครื่องก็รอรับเรากลับอยู่ที่ 00.50 น. จะถึงบ้านเรา 6.10 น. นี่แหละคือข้อดีสุด ๆ ของไฟลท์ดึกแบบนี้ก็คือ เราสามารถเที่ยวได้เก็บแสงเย็นพระอาทิตย์ตกที่ไหนสักที่ในจัยปูร์ได้สบาย ๆ เลย…

…มาถึงข้อมูลคร่าว ๆ อาจจะยาวสักหน่อยเพราะหลายอย่างเริ่มกันตั้งแต่… คอนเซปท์ของการเดินทางเราครั้งนี้ คือเน้นไปที่ “ความสะดวก และเปลี่ยนมุมมองใหม่ของการเที่ยวอินเดีย” เราจึงต้องมีคอนเซปท์เพื่อเป็นแนวทางให้กับคนอื่นทั้งหลายเริ่มตั้งแต่ข้อมูลอำนวยความสะดวกตามต่อไปนี้

  • การทำวีซ่าออนไลน์ • สามารถนั่งอยู่บ้านทำวีซ่าได้เลยไม่ต้องไปต่อคิวให้เสียเวลาชีวิต https://indianvisaonline.gov.in/evisa/Registration เข้าไปแล้วกรอกรายละเอียดต่าง ๆ ได้เลย ส่วนถ้าใครไม่มั่นใจว่าต้องกรอกช่องไหนอะไรอย่างไร ผมไปเจอลิ๊งค์นี้ http://goo.gl/2W8ZKS มีบอกรายละเอียดไว้ตั้งแต่วินาทีแรกที่เข้าเวปจนถึงขั้นตอนรอรับวีซ่าออนไลน์ ซึ่งผมทำตามแล้วใช้เวลาเพียงแค่ 3 วันเท่านั้น(เร็วมากกก) ส่วนค่าทำวีซ่าก็อยู่ที่ประมาณ 1,800.-
  • อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา • คิดง่าย ๆ เงินไทย 1 บาท เท่ากับ เงินอินเดียรูปี 2 บาท .. ดังนั้นทุกอย่างคูณสองง่ายดาย / ใครแลกเยอะแนะนำไป SuperRich ใครแลกน้อยก็แค่สนามบินก็ได้ไม่ต้องเหนื่อย .. ส่วนจะแลกเงินไทยเป็นรูปีไปเลยตั้งแต่บ้านเรา หรือจะแลกเป็นดอลล่าร์ไปแล้วไปแปลงรูปีที่อินเดียก็ได้ แต่สำหรับผมแลกไปตั้งแต่บ้านเราเลยครับ เพื่อไม่ให้เสียเวลาจัดไปทั้งสองสกุลเงิน รูปี และดอลล่าร์สหรัฐ
  • ปลั๊กไฟ • คำถามยอดฮิตเวลาเดินทางต่างประเทศว่าต้องปลั๊กแบบไหน ที่อินเดียส่วนใหญ่จะเป็นรูกลมเหมือนบ้านเรา “แต่” ย้ำนะครับว่า “แต่” ความกว้างระยะห่างของขามันจะแคบกว่าบ้านเรา .. วิธีง่ายสุด หาซื้อ Universal Adapter สักอัน.. เราจะเลิกวุ่นวายกับคำถามนี้ไปเลิกที่สำคัญถ้าไม่ทำหายทำลืม อันเดียวใช้ได้ทั้งชีวิต
  • การเตรียมพร้อมเพื่อความอยู่รอดด้านการติดต่อ และสื่อสาร • ในเรื่องของการใช้อินเตอร์เนทไม่แนะนำให้ซื้อซิมที่นั่นนะครับเนื่องจากแลดูวุ่นวายพอสมควร แต่ถ้าใครอยากลองผิดลองถูกอยากสัมผัสความเรียลก็ตามสบาย ส่วนผมก็เตรียมแพคเกจเนทที่บ้านเราตอนนี้มีโปรโมชั่นอยู่มากมายของแต่ละค่ายให้เลือกกัน ผมว่าวิธีนี้สะดวกสุดแล้ว หรือใครจะใช้บริการพ๊อคเก็ตวายฟายก็ได้อยู่ครับเอาที่สะดวกเลย
  • การเตรียมพร้อมเพื่อความอยู่รอดด้านโภชนาการ • อันนี้ก็สำคัญสำหรับปากท้อง ซึ่งเชื่อเหลือเกินว่านักเดินทางทุกคนย่อมรู้ดีว่าเราจะเตรียมอะไรกันไป น้ำพริกซอง อาหารแห้ง กระป๋อง มาม่า ฯลฯ จัดไปครับอย่าให้เสีย.. คนเดินทางย่อมเข้าใจคนเดินทางด้วยกันบางทีมันก็ต้องมีเพื่อเราจะได้เที่ยววันต่อไปได้อย่างมีความสุข และปลอดภัย…
  • การเตรียมพร้อมเพื่อความอยู่รอดด้านสาธารณสุข • โปรยหัวข้อซะดูเป็นทางการมากในแต่ละข้อ 555 มาหัวข้อเรื่องความสะอาดกันบ้าง ดังนั้นทิชชู่แห้ง / ทิชชู่เปียกจะแบบธรรมดา หรือแบบเย็นก็จะสดชื่นมาก / เจลล้างมือจะแบบไหนก็ตามติดได้ติดไปเลยครับ พกใส่กระเป๋าเดินทางไว้สำรอง พกใส่กระเป๋าสะพายไว้ใช้ระหว่างวัน .. หรือบางคนจะเอาหน้ากากปิดปากปิดจมูกไปก็ได้ครับ เท่ดีเป็นเดอะแมสก์ซิงเกอร์เดินเที่ยวอินเดียกันไป
  • การเตรียมพร้อมเรื่องการเดินทางตลอดทริป • นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดของคอนเซปท์เราเลยคือ
  1. ไม่อยากเจอการตุกติก ความผิดพลาด การสื่อสารกันไม่รู้เรื่องเหตุต่าง ๆ ที่จะทำให้เราเสียเวลาไปผิดที่ หรือหลงทาง หรือโดนหลอกจากเจ้าบ้านผู้อยากมอบประสบการณ์ให้กับเรา
  2. เราต้องการลดปัญหาการเสียเวลาไปกับการหาว่ารถคันไหนจะไปลงไหน จะไปต่อยังไง จะเดินจะไปทางไหนดี จะมีใครชี้ทาง
  3. ต้องการเที่ยว และซึมซับกับสถานที่ให้ได้มากที่สุด เพราะมันคือการเดินทางที่เราอยากได้ภาพสวย ๆ อยากไปอยู่ในช่วงเวลาที่ถูกต้องของแต่ละที่
  4. ที่กล่าวไป 3 ข้อ ได้คำตอบสรุปมาก็คือการ “หารถเช่าพร้อมคนขับที่จะอยู่กับเราตลอดทริป (เว้นเวลานอนนะ)” ก็เลยได้คอนแทคจากสวรรค์ส่งมาให้ได้รู้จักกับคุณลุง Tarachand Sharma ขอแปะเฟซลุงไว้หน่อยเผื่อใครสนใจ https://www.facebook.com/profile.php?id=1428407561 และนี่คือเบอร์ทาง Whatsapp ของคุณลุง +919799866326 (อ่านไปเรื่อย ๆ นะครับจะเห็นหน้าตาอันใจดีของคุณลุงในรีวิวนี้ และตอนท้ายผมจะลงข้อดีของการเช่ารถพร้อมคนขับในมุมมองผมไว้ให้อีกทีตอนสรุปท้าย) ส่วนราคาต่อวันที่ผมดีลได้คือวันละ 72 USD ตีไป 2,500.- เป็นรถ Toyota Cresta รถแนว SUV ที่จุข้าวของได้เยอะหน่อย ผมเดินทางกัน 3 คน ตกหารคนละ 800.- ต่อวันก็ถือว่าโอเคนะ ยิ่งตัวหารเยอะยิ่งถูกแต่ก็ต้องเผื่อสัมภาระที่จะใส่รถไว้ด้วยนะครับ ใครจะไปกี่คนก็ลองคำนวณกันดู

…ในส่วนของที่พักการเดินทางครั้งนี้ผมได้จองผ่านทราเวลโลก้า https://www.traveloka.com/th-th/hotel  เวปไซท์ และแอพพลิเคชั่นที่มาแรงที่สุดในขณะนี้เลยก็ว่าได้โดยจองผ่านระบบทางหน้าเวป หลัก ๆ ก็เลือกจากเมืองที่เราไปพักแล้วค่อย ๆ สกรีนกดไล่เรียงไปตามราคามากน้อย ซึ่งระบบของทราเวลโลก้าก็มีตัวจำแนกให้เราว่าจะเรียงแบบไหน เรียงจากราคา จากความนิยม จากคะแนน และต่าง ๆ ซึ่งเราสามารถทำได้ทั้งทางหน้าเวป หรือจะผ่านแอพพลิเคชั่นก็ได้เช่นกัน

…ซึ่งสำหรับคนที่ไม่เคยผมแนะนำว่าให้สมัครสมาชิก Register กับระบบไว้เลยก็จะเป็นการดี เพราะไว้เพื่อรับข่าวสารแจ้งเตือนต่าง ๆ และที่สำคัญทางทราเวลโลก้าก็จะมีโปรโมชั่นเดินทางทั้งตั๋วเครื่องบิน และที่พักแบบลดราคามานำเสนอข้อมูลให้เราอยู่เสมอ ๆ

…ทริปนี้ผมเดินทางด้วยกันทั้งหมด 8 วัน 7 คืน .. นับตั้งแต่วันที่อยู่ที่สนามบินวันแรกจนถึงวันกลับเหยียบสนามบินดอนเมืองเลยนะครับ.. โดยแบ่งตามนี้

Day 1 : BKK > Jaipur / Overnight at Jaipur

Day 2 : Jaipur Time / Overnight at Jaipur

Day 3 : Jaipur > Pushkar / Overnight at Pushkar

Day 4 : Pushkar > Jodhpur / Overnight at Jodphur

Day 5 : Jodphur Time / Overnight at Jodphur

Day 6 : Jodhpur > Udaipur / Overnight at Udaipur

Day 7 : Udaipur Time / Overnight at Udaipur

Day 8 : Udaipur > Jaipur > BKK

… “DAY 1 : JAIPUR CITY”

…เริ่มต้นการเดินทางวันแรกแบบสาย  ๆ เลยครับเพราะเมื่อคืนกว่าจะลงเครื่อง ผ่านตม. รับกระเป๋า เจอลุงแล้วเข้าที่พักก็ดึกอยู่พอสมควร วันแรกเลยตกลงกันว่าขอสาย ๆ หน่อย สำหรับการเที่ยววันแรกก็เริ่มไปเกือบ 10 โมง นี่คือแน่ใจนะว่ามาเที่ยว ๕๕๕

…โปรแกรมวันที่หนึ่ง : Jaipur City / Hawa Mahal / Amber Fort

…วันนี้คืออินเดียวันแรกในชีวิต พอคุณลุงมารับก็ขึ้นรถขับพาชมเมืองก่อนเลยก็ได้เจอถนนที่สะเปะสะปะไปด้วยรถ และผู้คนจำนวนมหาศาลประหนึ่งมีการชุมนุมยังไงยังงั้น บอกเลยว่าตื่นเต้นมากเพราะไม่เคยมาก่อน.. อะไร ๆ ก็ดูมีความแปลกตาไปซะหมดทั้งสีสันอาคารบ้านเรือน .. จัยปูร์นั้นเป็นหนึ่งในรัฐราชสถาน รัฐที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย และฉายาสมญานามของจัยปูร์ หรือชัยปุระก็คือ “เมืองสีชมพู” .. เวลาผ่านไปถึงบ่ายกว่า ๆ ก็หมดกับการเดินตามถนนถ่ายรูปเล่นด้วย อยู่บนรถให้คุณลุงขับไปตรงนั้นตรงนี้สปีคภาษาอังกฤษกันไปเรื่อยเปื่อย

…ว่าแล้วก็มาถึงหนึ่งในเช็คพอยท์เมื่อมาเยือนจัยปูร์ก็คือการมายืนแหงนคอที่หน้า “Hawa Mahal : พระราชวังสายลม : Palace of Wind” ความสวยงามคือด้านหน้าแบบชัด ๆ เป็นแผงใหญ่ ๆ ส่วนถ้าใครจะสนใจเข้าด้านในก็สามารถเข้าชมได้ 9.00-16.30 น เปิดทุกวัน ค่าเข้า 50 รูปี ใครที่ถ่ายรูปที่นี่แล้วจะเดินเล่นต่อไปยัง City Palace ต่อเลยก็ได้ เพราะสองที่นี่อยู่ใกล้กัน

…แม้ว่าจัยปูร์จะได้สมญานามว่า “นครสีชมพู : Pink City” แต่ก็ไม่ได้ความหมายสีจะเป็นชมพูหวานแหววแต๋วจ๋าไปซะหมดนะ เพราะเท่าที่ดูโดยรวม ๆ มันก็จะออกไปทางโทนน้ำตาลบ้างชมพูแซมผสมสีดินปูนบ้าง แต่โดยรวม ๆ ก็ถือว่าโทนสีพอไปทางชมพูได้..

…บรรยากาศของเมืองจัยปูร์บริเวณถนนสายหลักนี้ก็จะเต็มไปด้วยร้านค้าขายของที่ระลึก กระเป๋า เสื้อผ้า กำไล สร้อยคอ แก้วแหวนเงินทอง สารพัดที่จะเอามาวางขายกัน .. ส่วนราคาก็เรา ๆ สามารถซื้อได้สบายครับ ราคาไม่แพง .. ส่วนในด้านของสีสันบอกเลยว่าจัดเต็มทั้งผู้คน และสีของอาคารบ้านเรือน.. แบบนี้สิอินเดียสมใจ…

…เวลาของเราตั้งแต่เริ่มออกจากโรงแรมจนถึงบ่ายแก่ ๆ ก็วนไปวนมาอยู่ละแวกตัวเมืองจัยปูร์ ซึ่งถ้าเอาภาพมาลงคงเยอะมากอาจเดือดร้อนผู้อ่านได้จึงขอกด skip ข้ามมายังช่วงเกือบ ๆ เย็นประมาณ 4 โมงกว่ามายังที่ “STEP WELL” คือพยายามหาชื่อที่แท้จริงแล้วแต่หาไม่เจอจริง ๆ เอาเป็นว่าที่นี่คือบ่อน้ำที่มีลักษณะเป็นบันไดขึ้นสามารถเดินลงไปได้ ไม่ต้องเสียค่าเข้าสถานที่นะครับที่นี่สามารถบอกให้คนขับจอดด้านหน้าแล้วเราเดินเข้ามาได้เลย.. เป็นอีกที่ที่อาจดูไม่มีอะไรมาก แต่ผมว่าถ้าใครจะแวะมาผมว่าก็น่าสนใจนะเพราะมีมุมถ่ายพอทเทรตได้สวย ๆ หลายมุมเลย… และอีกอย่างอยู่ใกล้กับ AMBER FORT สถานที่ที่เราจะไปกันต่อปิดท้ายวันกันด้วย

… “AMBER FORT”

…เปิดให้เข้าชมทุกวัน / 8.00 – 17.00 น. / ค่าเข้า 500 รูปี

…ทันทีที่ขับออกจากบ่อน้ำที่อยู่ใกล้กันออกมาตามทางถนนก็ต้องผงะกับความยิ่งใหญ่อลังการของป้อมปราการที่ตั้งเด่นเป็นตระหง่านอยู่บนหน้าผา ต้องบอกว่าโคตรใหญ่จริง ๆ แล้วทำไมเราถึงไม่เคยรู้เลยว่าอินเดียมีสถานที่อะไรแบบนี้ด้วยหรือ เท่าที่เห็นจากภายนอกไม่ใช่แค่ความยิ่งใหญ่เท่านั้นแต่ยังพอเห็นถึงสไตล์ของแนวศิลปะสถาปัตยกรรมของอินเดียอีกด้วย ว่าแล้วก็ไม่รอช้าหลังจากแอ๊คท่าเก็บภาพพอโพสยั่วชาวบ้านได้ก็รีบให้ลุงคนขับบึ่งรถมุ่งหน้าเข้าสู่ตัวป้อมปราการทันที …

…และเมื่อผ่านพ้นชำระค่าเข้าสถานที่เรียบร้อยเดินมาด้านในก็ยิ่งได้เห็นถึงความงามที่หลบซ่อนอยู่ภายในที่ทำให้เราได้แต่มองแล้วอึ้งว่าทำไมมันจะยิ่งใหญ่ได้ขนาดนี้ ทั้งในส่วนต่าง ๆ จะมองซ้ายมองขวาก็ล้วนแต่มีความสวยงามของสถาปัตยกรรมทั้งนั้น

…และความสวยงามที่นอกเหนือไปจากงานก่อสร้างที่ตกแต่งด้วยเหล่าหินอ่อน หินประเภทต่าง ๆ และพื้นที่ในโซนต่าง ๆ แล้วก็ยังมีมุมที่เราสามารถเห็นวิวสวย ๆ ของเมืองจัยปูร์ได้อย่างงดงามอีกด้วย .. ขอบรรยายถึงความรู้สึกว่าผมเองค่อนข้างแปลกใจว่าเราไปอยู่ที่ไหนมาทำเราไม่เคยรับรู้เรื่องราวถึงความงดงามในอินเดียสไตล์ว่ามีแบบนี้ด้วย .. สิ่งก่อสร้างตั้งแต่สมัยอดีตที่ล่วงเลยผ่านกาลเวลามาถึงปัจจุบันนั้นบอกเล่าได้เป็นอย่างดีถึงความศักดิ์สิทธิ์ความจีรังยั่งยืนของสิ่งก่อสร้างที่อยู่มาจนให้ชาวโลกยังได้เห็นกันจนทุกวันนี้

…ไฮไลท์ของการเข้าชม AMBER FORT ก็อยู่ที่การเดินชมความงดงามของป้อมปราการของพระราชวัง และสวนสวยเขียว ๆ แล้วเรายังสามารถเดินไปตามพื้นที่ต่าง ๆ ภายในป้อมได้อย่างเพลิน ๆ เรียกว่าต้องเตรียมเมมโมรี่การ์ดมาให้เหลือ ๆ เลยเพราะนี่คือแค่ที่แรกที่เดียววันแรก ใครมาหลาย ๆ วันผมว่าต้องมีมาเลย 32 Gb อย่างต่ำ…เพราะทั้งวิวมุมกว้าง ๆ หรือวิวมุมสูง ไม่เว้นแม้แต่การถ่ายเจาะลวดลายต่าง ๆ ก็ล้วนทำให้เราเพลินจนลืมเวลาไปได้ง่าย ๆ

…เป็นอันปิดท้ายวันแรกของจัยปูร์ที่ Amber Fort แต่ไว้เราจะตามมาเก็บสถานที่ต่าง ๆ ในจัยปูร์กันวันกลับสุดท้ายอีกที เพราะพรุ่งนี้ต้องถึงคราวย้ายเมืองไปยังเมืองถัดไปที่อยู่ห่างไปอีกประมาณ 150 กิโลเมตร กับเมืองเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า “PUSHKAR”…

… “DAY 2 : PUSHKAR CITY”…

…วันนี้เราก็ออกจากโรงแรมกันเวลาประมาณ 9 โมง.. คือที่ไม่ต้องรีบร้อนออกแต่เช้าก็เพราะเรามีคนขับส่วนตัวทำให้สามารถแพลนเวลา และกำหนดทุกอย่างได้ไม่ต้องเร่งรีบหรือกังวลเรื่องเวลาให้เหนื่อยใจ..

…ก่อนที่เราจะเดินทางมาอินเดียสำหรับทริปนี้ระหว่างที่หาเส้นทางเขียนแพลนว่าจะออกจากจัยปูร์แล้วไปจ๊อดปูร์ ผมเองอยากหาที่เที่ยวที่นอนที่ไหนสักที่เพื่อจะได้ไม่ต้องหมดเวลานานเกินไปสำหรับการเดินทางก็ เข้ากูเกิ้ลหาไปหามาก็มาเจอคำว่า “PUSHKAR CAMEL FAIR 2017”… และด้วยความช่างบังเอิญเหลือเกินที่ตรงกับช่วงวันที่เราจะเดินทางไปพอดี โดยงาน Pushkar Camel Fair จะจัดขึ้นประมาณช่วงปลายเดือนตุลาคมต่อเนื่องถึงต้นเดือนพฤศจิกายน กินเวลาประมาณ 7-8 วัน.. เป็นงานประจำทุกปี ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 28 ตุลาคม – 4 พฤศจิกายน 2017 และด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้ผมตัดสินใจได้ไม่ยากว่าจะเลือกปลายทางคืนนี้ให้เป็นที่นี่แหละ

…ที่พักเราในวันนี้คือที่เมือง Ajmer ซึ่งอยู่ติดกับเมืองพุชการ์เมืองที่เราจะไปเที่ยวกันซึ่งห่างออกจากตัวที่พักไปแค่ประมาณ 15 นาทีก็ถึงเพราะเป็นเมืองติดกันไม่ไกลกันเลย และนี่ก็คือโฉมหน้าที่พักเราในค่ำคืนนี้ “Regal Hotel” https://www.traveloka.com/th-th/hotel/india/regal-hotel-1000000402129  แน่นอนว่าอย่างที่บอกไปว่าจองมากับทราเวลโลก้าเมื่อถึงหน้าเค้าน์เตอร์ก็ยื่นหลักฐานที่ปริ๊นท์ใส่กระดาษมาให้กับทางเจ้าหน้าที่ก็เป็นอันเรียบร้อย เช็คอินเอาสัมภาระขึ้นห้องก่อนจะพร้อมออกเดินทางกันต่อทันที

…ระยะทางจากจัยปูร์ – พุชการ์ ก็อยู่ที่ประมาณ 150 กม. รวมเบ็ดเสร็จกว่าจะขับถึงเมืองนี้ และเริ่มออกเดินเที่ยวในตัวเมืองก็ปาไปตอนบ่ายสอง เพราะไหนจะแวะกินข้าว แวะพักระหว่างทาง และเมื่อมาถึงเมืองก็เข้าโรงแรมวางสัมภาระเข้าที่พักก่อนจึงค่อยให้ลุงคนขับรถออกมาส่งยังตัวบริเวณงานอูฐแฟร์ (มีรถมาส่วนตัวมันดีสุด ๆ อย่างนี้นี่เอง)

…ทันทีที่เริ่มเดินเข้างานก็สัมผัสได้ถึงความร้อนแรงของสภาพอากาศปลายเดือนพฤศจิกายนที่ยังไม่เข้าหน้าหนาวซะเต็มที ดังนั้นช่วงระหว่างวันก็ร้อนอบอ้าวเลยไหนจะบวกด้วยปริมาณผู้คนที่มาเดินในงาน และปริมาณฝุ่นบอกเลยว่าเป็นบททดสอบท้าทายเราสามคนกันมาก ๆ ว่าใครจะสตรองกว่าใคร.. แต่ที่แน่ ๆ เจ้าอูฐนี่แหละครับสตรองที่สุด เพราะบางตัวก็ประดับประดาแต่งองค์ทรงเครื่องจัดเต็มยิ่งกว่าคนมาเดินเที่ยวงานซะอีก

…บรรยากาศของงานแฟร์ก็จะเต็มไปด้วยแผงขายของใช้ ข้าวของต่าง ๆ เรียกว่าครบทุกสิ่งอย่างที่เราสามารถพบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน แต่สิ่งที่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผมและเพื่อนมากที่สุดคงหนีไม่พ้นสีสันคัลเลอร์ฟูลประมาณล้านเจ็ดสีบนโลกใบนี้ที่ทั้งนักท่องเที่ยว หรือไม่เว้นแต่ชาวบ้านที่เมืองนี หรือจากเมืองอื่นที่พร้อมใจใส่เสื้อผ้าสีสันมาแบบจัดเต็มเรียกว่า ตาแทบบอดกันเลย

… “เมืองพุชการ์” นั้นเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่มีความสงบปกคลุมอยู่ไปทั่วเมือง เปรียบได้เหมือนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่มีมนต์เสน่ห์เป็นเอกลักษณ์ของเมืองนี้ และไฮไลท์สำคัญของที่นี่ก็คือทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ของชาวฮินดูที่เป็นจุดสำคัญของเมือง ที่ทั้งชาวฮินดูและชาวบ้านชาวเมืองต่าง ๆ เดินทางกันมาทำพิธีกันที่บ่อน้ำแห่งนี้ ..

…ซึ่งโดยปกติแล้ว “ย้ำว่าโดยปกติ” เมืองพุชการ์นี้จะมีบรรยากาศที่ค่อนข้างเงียบสงบ แต่ในช่วงปลายเดือนตุลาคม – ต้นเดือนพฤศจิกายนของทุกปี จะเป็นช่วงพิเศษที่มีสีสันมากขึ้นแบบผิดหูผิดตานั่นเพราะเทศกาล “Pushkar Fair” หรือ “Pushkar Camel Fair” ที่เรากำลังเที่ยวอยู่นั่นเอง.. โดยในงานก็จะมีการจัดแข่งขันจัดประกวดอูฐ การละเล่น ขึ้นบอลลูน ร้านค้าต่าง ๆ ที่มีมากมายเดินมองกันจนตาลาย เรียกว่าเป็นอีกช่วงเวลาที่หากใครอยากมาสัมผัสก็ต้องแพลนเวลากันดีดี ..

…เมื่อเห็นบรรยากาศสีสันเยอะแยะมากมายขนาดนี้แล้ว ก็ทำให้รู้สึกว่าหากเป็นช่วงเวลาปกติที่ไม่ได้มีงานเมืองนี้คงเงียบเหงาไปเยอะ แต่ในทางกลับกันผู้คนจำนวนมากก็ยังเลือกที่จะมาเมืองนี้เพื่อพักผ่อนก็เพราะความเงียบสงบนี้แหละที่เป็นมนต์เสน่ห์แห่งพุชการ์

…เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วพวกเราก็ค่อย ๆ เดินไหลมาเรื่อย ๆ ตามแรงเบียดตามเส้นทางมาจนในที่สุดก็มาถึงจุดไฮไลท์ที่เราตั้งใจจะอยู่กันตรงนี้เพื่อรอเก็บแสงเย็นก่อนจะกลับเข้าที่พัก ซึ่งบริเวณบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้ก็มีข้อควรปฏิบัติเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้พอทราบไว้ก็คือเรื่องของการถ่ายรูป คือเราสามารถถ่ายรูปได้แต่อาจต้องระวังนิดนึง เพราะเนื่องจากเป็นจุดที่มีพิธีอาบน้ำดังนั้นเวลาถ่ายภาพก็ควรเลี่ยงภาพที่เห็นถึงการอาบน้ำแบบชัด ๆ ว่าง่าย ๆ ก็คือถ่ายเน้นสถานที่ก็พอได้ แต่ถ้าเน้นคนก็ไม่ควรครับ.. เว้นเสียแต่จะเป็นช่วงที่ไม่มีพิธีอาบน้ำแล้ว หรือเป็นช่วงเย็นที่พระอาทิตย์ใกล้ตกช่วงนี้ก็จะพอเริ่มถ่ายได้ง่ายขึ้น ..

…แสงสุดท้ายของวันบริเวณบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เป็นความลงตัวของสถานที่ และเป็นความประหลาดใจของเราอยู่ไม่น้อยเพราะความเงียบสงบที่ตลอดวันที่ผ่านมานั้นแลดูวุ่นวายด้วยบรรยากาศที่รายล้อมไปด้วยผู้คน แต่ในตอนนี้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเราคือบ่อน้ำอันเงียบสงบ มีแสงจากดวงอาทิตย์ส่องกระทบตกลงสร้างเงาน้ำที่สวยงาม

…เราปล่อยเวลาผ่านไปช้า ๆ ตามเข็มนาฬิกา และบรรยากาศที่อบอวลแบบอินเดียสไตล์ .. ทิ้งส่งภาพสุดท้ายของวันไว้ที่นี่ก่อนจะกลับเข้าที่พัก และเตรียมเดินทางสู่จุดหมายต่อไปในวันรุ่งขึ้น…

… “DAY 3 : JODHPUR CITY” …

…วันที่สามเดินทางมาถึงแบบไม่ช้าไม่เร็ว จากไม่เคยมาอินเดียตอนนี้ก็ผ่านพ้นไปแล้ว 2 วัน 2 คืน .. ก็เริ่มชินและปรับสภาพได้ค่อนข้างดีแล้วสำหรับระดับแตรรถที่ดังอยู่ในหูตลอด ไม่เว้นแม้แต่เวลาจะเข้านอนก็ยังมีเสียงแตรตามมาหลอกมาหลอนทุกคืน.. แต่ที่เรารับได้ว่ามันคือความสนุก และสีสันของผู้คนที่นี่แหละครับ ทั้งความเยอะแยะมหาศาลของปริมาณผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมาตามท้องถนน และตามสถานที่ต่าง ๆ

…วันนี้เรายังคงออกเดินทางด้วยเวลาประมาณเดิมคือ 9 โมงกว่า ๆ กับเส้นทางมุ่งหน้าสู่ “เมืองจ๊อดปูร์” เมืองที่ได้รับฉายาว่าเป็น “Blue City หรือมหานครสีฟ้าสีน้ำเงินก็ว่ากันไป” ซึ่งเมืองนี้ก็คือหนึ่งในเมืองไฮไลท์ของอินตะระเดียที่มากด้วยสีสันของผู้คน บวกกับสีฟ้าของอาคารบ้านเรือน และป้อมขนาดมหึมาที่จะสะกดให้เรายืนอึ้งอ้าปากค้างพร้อมกับวิวด้านบนแบบเห็นเมืองสีฟ้ากันทั้งเมือง…

…หลังจากผ่านเส้นทางมาเรื่อย ๆ แวะพัก แวะกินแมคโดนัลด์ระหว่างทางในที่สุดก็มาถึงที่พัก “Hotel Suncity International” https://www.traveloka.com/th-th/hotel/india/hotel-suncity-international-1000000390628 และก็เฉกเช่นเดิมที่เราเอาสัมภาระเข้าที่พักกันก่อนเพื่อความสะดวกสบายในการเดินทางไม่หนักรถ ช่วยลุงคนขับประหยัดน้ำมันด้วยอะไรจะใจดีปานนั้น.. ในเรื่องของการจองที่พักที่เราเลือกสำหรับการเดินทางครั้งนี้เราก็มีตัวเลือกบางข้อที่เราต้องการก็คือ ต้องการห้องที่สามารถนอนได้ 3 คน .. หรือไม่ก็ต้องเป็น 2 คนและสามารถเสริมเตียงได้ โดยในเวปทราเวลโลก้าตอนที่เราทำการจอง เราก็สามารถระบุได้เลยว่าต้องการจำนวนผู้เข้าพัก 3 ท่าน .. ระบบก็จะค้นหา และแสดงข้อมูลโรงแรมที่พักมาให้เราเลือกตามต้องการ เรียกว่าใครอยากได้อะไรพิเศษ ก็ให้เลือกความต้องการไปตามฟังก์ชั่นเมนูที่มี ไม่ว่าจะเป็นอยากได้ห้องแอร์ / อินเตอร์เนท / สระว่ายน้ำ หรือสิ่งอำนวยความสะดวก เราสามารถเลือกทำผ่านทางนี้ได้เลย

… “JASWAN THANDA”…

…เปิด 9.00 – 17.00 / ค่าเข้าชม 50 รูปี

…สถานที่แรกที่เราภูมิใจนำเสนอก็คือ “อนุสรณ์สถาน Jaswant Thada” เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ที่เที่ยวก่อนที่เราจะไปชมไฮไลท์อย่างป้อม Mehrangarh Fort และบริเวณที่เรียกกันว่า Blue City… อนุสรณ์สถานแห่งนี้มีลักษณะคล้ายทั้งพระราชวัง คล้ายทั้งวัด.. ส่วนไฮไลท์ของที่นี่เลยก็คือการก่อสร้างด้วยหินอ่อนที่นำไปสร้างทัชมาฮาลก็เป็นแบบเดียวกันนี้

…บรรยากาศภายในค่อนข้างร่มรื่นเพราะมีสวนหย่อมเขียว ๆ ให้นั่งพักหลบร้อนได้ ส่วนช่วงเวลาที่จะถ่ายภาพที่นี่ได้สวย ๆ เลยควรเป็นช่วงสาย ๆ หรือไม่ก็บ่ายคล้อยไปหน่อยให้ดวงอาทิตย์อยู่ลักษณะเฉียง ๆ กับตัวอนุสรณ์เพราะแสงจะส่องกระทบขับเร่งความสวยงามสะท้อนให้เราได้เห็นถึงลวดลาย และสีสันอย่างสวยงาม .. สำหรับผมเองก็นับว่าที่นี่นั้นเกินคาดกว่าที่หาอ่านมาในตอนแรกเพราะเอาความจริงก็คือกะว่าไหน ๆ มาแล้วก็แวะมาสักหน่อย แต่พอเดินเข้ามาเดินวนไปรอบ ๆ กลับรู้สึกชอบ และรู้สึกว่าน่าจะเสียดายไม่น้อยหากไม่ได้เดินเข้ามา แถมค่าเข้าชมก็ถูกแสนถูกเมื่อเทียบกับภาพที่ได้กลับไปด้วย

… “MEHRANGARH FORT” …

…เปิด 9.00 – 17.00 / ค่าเข้าชม 600 รูปี

…มาถึงไฮไลท์แบบพีค ๆ ติดขอบจอกันเลยกับอภิอัครมหาป้อมที่ผมยกให้ที่นี่คือที่สุดของป้อมในทริปลุยแดนแคว้นราชสถานครั้งนี้เลยกับ “Mehrangarh Fort” หนึ่งในความอลังการยิ่งใหญ่ และสวยงามของที่สะกดให้เราร้องอุทานตั้งแต่จ่ายตังค์ค่าตั๋วเสร็จแล้วเดินผ่านซุ้มประตูเข้าไปทีละน้อย ๆ อะไรมันจะยิ่งใหญ่ได้ขนาดนี้ …”ป้อมเมห์รานการห์” ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเก่าของจ๊อดปูร์ เป็น 1 ใน 4 พระราชวังที่ใหญ่ที่สุดของประเทศอินเดียเลยนะครับ.. เป็นป้อมปราการที่มีความยาวข้ามเขากว่า 120 ลูก .. นอกจากภายนอกที่เราจะได้เห็นวิวสวย ๆ แล้ว ภายในก็เป็นพระราชวังที่สวยงามด้วย

…ช่วงเวลาที่ผมแนะนำสำหรับการมาเดินยลโฉมความมหัศจรรย์อันเลอค่าของป้อมนี้ผมให้เป็นช่วงบ่ายแก่ ๆ ตั้งแต่ประมาณราว ๆ บ่ายสามเป็นต้นไปก็เพราะแสงจากดวงอาทิตย์จะเฉียง และส่องพาดเข้าตามกำแพงป้อม ตามช่องประตู รวมทั้งส่องไปยังกำแพงด้านนอกเพิ่มมิติและความสวยงามให้ทวีคูณมากยิ่งขึ้น

…แต่ก็ไม่ได้มีเพียงแค่นั้นที่เจ๋ง ๆ เพราะที่นี่ยังเป็นจุดชมวิวเมืองจ๊อดปูร์ บลูซิตี้สีน้ำเงินที่เห็นกันแบบชัด ๆ พาโนรามาได้เลย มาที่นี่ควรพกเลนส์มาให้ครบนะตั้งแต่มุมกว้างไปจนถึงเทเลซูมเก็บให้ครบแล้วจะได้ภาพเจ๋ง ๆ กลับไปแน่นอน

…ส่วนอีกมุมส่งท้ายการเดินทางวันนี้ก็คือมุมด้านนอกกำแพงป้อมจะอยู่ตรงไหนพิกัดใดดูจากรูปได้เลย เซฟแล้วเอาไปยื่นให้คนขับที่จะพาเราไป หรือจะเดินหาเองก็ได้ครับบอกเลยว่าไม่ยากเราจะได้ทั้งฟิวล์ของบรรยากาศทะเลทรายนิด ๆ ที่มีก้อนหิน มีกระบองเพชรทิ้งด้วยฉากหลังไกล ๆ คืออภิมหาป้อมยักษ์ Mehrangarh Fort ก่อนที่วันรุ่งขึ้นเราจะไปเดินชม Blue City กันว่าเมื่อเรามองจากด้านบนลงไปแล้วเมื่อเราไปยังอยู่ด้านล่างนั้นจะหน้าตาเป็นอย่างไร ส่วนคืนนี้เราก็นอนหลับฝันดีเหมือนทุกคืนที่ผ่านมาเพราะเที่ยวกันเหนื่อยทุกวันจริง ๆ

… “DAY 4 : WALKING AT BLUE CITY” …

…เริ่มต้นวันที่ 4 กันที่ร้านอาหารกลางวันสุดหรู คือผ่านไปแล้วเกือบครึ่งทางยังไม่ได้กล่าวถึงเรื่องราวของอาหารการกินเลย จะบอกว่าที่อินเดียนั้นอาหารก็อาจเป็นที่โปรดปรานของใครหลายคน แต่หลายคนก็อาจไม่ถูกปาก แน่นอนว่าน้ำพริก น้ำจิ้ม มาม่า อาหารแห้งต่าง ๆ ที่เรานำคืออีกหนึ่งทางเลือกที่เราทำ ๆ กันเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับร้านอาหารที่อินเดียนั้นส่วนใหญ่จะเป็นมังสวิรัติ แต่อย่างตามร้านอาหารก็จะมีตัวเลือกให้มากกว่า ดังนั้นใครที่กังวลเรื่องอาหารการกินกลัวไม่สะอาด ไม่ปลอดภัย ผมว่าเข้าร้านอาหารก็สบายใจได้ไม่ต้องกังวลถึงขนาดไม่มีอะไรกิน..

… “CLOCK TOWER” …

…มาถึงบริเวณหอนาฬิกาแห่งเมืองจ๊อดปูร์ที่เป็นเหมือนศูนย์กลางของที่นี่อีกที่ก็ว่าได้เพราะเต็มไปด้วยบรรยากาศของร้านค้า ตลาด และผู้คนจำนวนมากที่มาจับจ่ายใช้สอยของกินของใช้กันอยู่ทุกวัน เรียกว่าใครอยากได้ภาพสีสันอินตะระเดียตรงนี้คืออีกจุดที่เราจะได้ภาพกลับไปแน่นอน ไม่ว่าจะภาพผู้คนซื้อของขายของ รถราที่ขวักไขว่ไปมา และภาพความวุ่นวายที่เราไม่ต้องมัวเล็งคอมโพสซิชั่นให้เสียเวลาเพราะตรงไหนก็มีแต่คนล้านเจ็ดเต็มไปหมด

… “BLUE CITY” …

…เส้นทางเดินเข้าสู่บริเวณบ้านสีน้ำเงินก็อยู่ตรงปากทางหอนาฬิกานี่แหละครับ เดินทะลุไปเรื่อย ๆ จะผ่านตลาดที่มีบรรยากาศคล้ายตลาดสำเพ็งบ้านเราอย่างไรอย่างนั้น บ้านเราว่าเบียดเสียดแต่ที่นี่ยิ่งกว่าเดินแล้วเลเวลชีวิตความแข็งแกร่งจะอัพขึ้นทันที ๕๕๕๕

… “เมืองจ๊อดปูร์ (Jodhpur)” เมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองในรัฐราชสถาน(รองจากจัยปูร์) .. โดยเสน่ห์ และเอกลักษณ์ของจ๊อดปูร์ก็คือ สีสันของเมืองนี้แหละครับที่เป็นสีฟ้า สีน้ำเงิน เรียกว่าอยู่กันเป็นแถบ ๆ เลย(แม้บางแถบจะไม่สีน้ำเงินก็ตาม) ส่วนเหตุผลของคนที่นี่ที่ว่าทำไมต้องทาสีบ้านเป็นสีฟ้าก็คือ “ช่วยกันแมลง และทำให้บ้านมีความเย็นในช่วงฤดูร้อน” ผู้คนก็เลยพร้อมใจกันอย่างที่ได้เห็นในภาพกัน

…จากที่ผมได้เดินมาแนะนำว่าให้มีเวลาสักครึ่งวันเป็นอย่างต่ำสำหรับการเดินเล่นไปตามตรอกซอกซอย โดยเฉพาะบรรยากาศของบ้านเรือนที่ทาสีด้วยสีฟ้าสีน้ำเงิน ซึ่งจะอยู่บริเวณตลาดใกล้กันกับ Clock Tower ซึ่งรถจะไปจอดได้แค่ปากทางตลาด และเราจะต้องเดินเท้าไปประมาณ 700-800 เมตร ก็จะถึงบริเวณบ้านสีฟ้าเยอะแยะมากมาย .. ตอนเดินนี่ก็ไม่มีเส้นทางบังคับนะครับ แล้วแต่เราเลยว่าจะเดินทะลุซอยไหนออกซอยไหน.. เดินไปเดินมาอาจหลงได้ต้องระวังกันนิดนึง

…ทิ้งท้ายเมืองจ๊อดปูร์เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยให้กับใครที่กำลังจะเดินทางมาสักหน่อยกับช่วงเวลาพีค ๆ กับการถ่ายรูปในจ๊อดปูร์

…ตอนเช้าเราสามารถมารอถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นที่บริเวณ Mehrangarh Fort ได้เลย หามุมสวย ๆ ถ่ายจากด้านนอก ยังไม่ต้องเข้าด้านในป้อมนะครับเปิดตั้ง 9.00 น. (จะสะดวกสำหรับคนที่ใช้บริการรถเช่าพร้อมคนขับ เพราะถ้ามาเองอาจลำบากไปนิด) ส่วนระหว่างวันเราจะไปเดินไหนก็ได้ครับ Clock Tower หรือตามพระราชวัง ตามอนุสรณ์สถานต่าง ๆ แต่ผมเชื่อว่าส่วนใหญ่คงไปเดินตลาดกัน เพราะมาอินเดียแล้วสีสันก็คือผู้คนนี่แหละครับ เดินกันให้ขาขวิดกันเลย

– ตกช่วงบ่ายแก่ ๆเคลียร์คิวทุกสถานที่มาที่ Mehrangarh Fort ซื้อตั๋วเข้าไปเลย แดดเฉียง ๆ ได้ฟ้าเข้ม ๆ สวย ๆ หามุมถ่าย จ๊อดปูร์แบบนครสีฟ้ากันในนี้ได้ตามสบาย / แล้วเหลือเวลาเดินออกไปด้านนอกเล็งเหลี่ยมมองกลับมาให้เห็น Mehrangarh Fort พร้อมพระอาทิตย์ตก.. ฟินมากกกแล้วค่อยบ๊ายบายจ๊อดปูร์

… “DAY 5 : THE WAY TO UDAIPUR”…

…วันที่ 5 การเดินทางวันนี้จุดหมายปลายทางเราอยู่ที่เมือง “Udaipur” เมืองที่ว่ากันว่าโรแมนติคในแบบอินเดียสไตล์ ซึ่งผมเองก็อยากจะรู้เสียเหลือเกินว่าประเทศแบบอินเดียนี่น่ะหรือที่จะมีฟิวล์ให้เราได้โรแมนซ์กันด้วย .. และก็ถึงเวลาโบกมือบ๊ายบายจ๊อดปูร์ บลูซิตี้แบบชื่นฉ่ำหัวใจ .. การเดินทางวันที่ 5 นี้เราออกเดินทางกันช่วงเวลาเดิม ๆ ของทุกวันก็คือประมาณ 9 โมงกว่า ๆ ด้วยระยะทางประมาณเกือบ 300 กิโลเมตร และเส้นทางที่ค่อนข้างเป็นทางแคบ และหุบเขาจึงทำให้เราโอ้เอ้มากได้ .. แต่แล้วตัวเราก็คือตัวเราเพราะเส้นทางผ่านสู่ Udaipur นั้นเราจะผ่าน 2 สถานที่สวย ๆ ตามต่อไปนี้เลย

… “JAIN TEMPLE”…

…เปิด 12.00 – 17.00 น. / ค่าเข้าชม 200 รูปี

…แปลกันตรงตัวที่นี่ก็คือ “วัดเชน” ซึ่งจะว่าไปแล้วสำหรับผมก็ไม่ได้มีความรู้สึกว่าเหมือนวัดสักเท่าไหร่ อารมณ์จะเหมือนวิหารเสียมากกว่า .. แต่จะอะไรก็ช่างจุดเด่นของ Jain Temple ก็คือความที่เป็น “วิหารหินอ่อน” ที่อยู่โดดเด่นท่ามกลางหุบเขาขุนเขา เรียกว่าตลอดเส้นทางที่ผ่านมานี่ถ้าไม่บอกว่าจะมีสิ่งก่อสร้างที่สวยงามขนาดนี้ เราเองก็ไม่อยากจะเชื่อเลยจริง ๆ เพราะตลอดทางก็จะเป็นป่าเขามีหุบผาให้เรามองเรื่อย ๆ แล้วอยู่ดีดีก็โผล่วิหารนี้มาข้างทางให้เราตะลึง…

…วิหารวัดเชนนี้เป็น 1 ใน 5 วัดศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาเชน สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 15 เรียกว่าเก่าแก่เนิ่นนานแก่ความขลังจริง ๆ สำหรับผมแล้วไม่ได้คาดหวังอะไรกับที่นี่มากเพราะเท่าที่ดูในรูปหาข้อมูลมาเห็นว่าเป็นทางผ่านและรูปที่เห็นก็ไม่ได้ดึงดูดอะไรสักเท่าไหร่ แต่เอาเข้าจริงพอไปถึงแล้วก็ได้แต่ยืนอึ้งเหมือนกับหลาย ๆ ที่ที่ผ่านมา .. เพราะนอกจากความวิจิตรงดงามของงานแกะสลักหินอ่อนที่วาดวางลวดลายไว้เป็นเอกลักษณ์แล้ว ความเย็นยะเยือกของหินอ่อนก็ทำให้อากาศภายนอกที่เดินแล้วร้อน แต่พออยู่ภายในวิหารนี่กลับตรงกันข้ามกันเลยทีเดียว

… “KUMBHALGARH FORT” ..

…เปิด 9.00 – 18.00 / ค่าเข้าชม 100 รูปี

…เราออกจาก Jain Temple ตอนประมาณบ่ายโมงครึ่ง กว่าจะมาถึงสถานที่ต่อไปยัง Kumbhalgarh Fort ก็ปาเข้าไปเกือบ 4 โมงเย็น เพราะเส้นทางที่คดเคี้ยวและเป็นทางแคบ ซึ่งอันที่จริงป้อมยักษ์แห่งนี้นั้นหากใครจะมาก็จะต้องยอมเสียเวลาเพิ่มอีกสักหน่อย เพราะถึงแม้จะเป็นทางผ่านไป Udaipur ก็จริงแต่ว่าเส้นทางจะแยกออกไปอีกทาง แต่ด้วยความอลังการที่เราหาข้อมูลก่อนมาเพราะเห็นความยิ่งใหญ่ของภาพที่ได้เจอนั้นอยากให้เรามาเห็นด้วยตาจริง ๆ สุดท้ายก็เลยต้องยอม แล้วก็ไม่ผิดหวัง…

…ความยิ่งใหญ่ของ Kumbhalgarh Fort นั้นยิ่งใหญ่ไม่แพ้ป้อมต่าง ๆ ที่เราได้เห็นจากในหลายวันที่ผ่านมา จะต่างกันไปก็ตรงที่ทัศนียภาพล้อมรอบของป้อมพระราชวังแห่งนี้นั้นเป็นธรรมชาติแบบเน้น ๆ บวกกับแนวกำแพงที่มีลักษณะคล้ายกำแพงเมืองจีน ซึ่งที่นี่ก็ได้รับการขนานนามว่า “The Great Wall of India” เลยนะครับ… แม้อาจจะไม่ยิ่งใหญ่เท่าสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่เมืองจีน แต่แค่นี้ก็ยิ่งใหญ่มากเพียงพอที่จะทำให้เราทั้งสามคนยืนอึ้งไปพร้อมกับวิวที่ได้เห็นเคียงข้างธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ด้วยเช่นกัน

…เวลาทั้งหมดก็เลยหมดไปกับการเดินชมป้อม และรอคอยจนดวงอาทิตย์เริ่มคลายความร้อนแรงลงจนเห็นแสงสุดท้ายค่อย ๆ หย่อนลงด้านบนของป้อมอย่างสวยงาม…ว่าแล้วก็เดินทางกันต่อไปอีก 80 กว่ากิโลเมตรกว่าจะถึงเมืองอุไดปูร์ ..

…และในที่สุดก็เดินทางมาถึงที่พักกันเสียที “Hibiscus Guesthouse” แต่ด้วยความที่มากันซะดึกมืดมากบวกกับไฟของที่พักก็สลัวเสียเหลือเกินเลยขอถ่ายภาพบรรยากาศในห้องพักเก็บไว้ก่อน ก่อนที่จะรกในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าโดยห้องที่เราพักเป็นแบบห้องพัก 2 คน แต่เสริมเตียงได้ ภายในห้องก็บรรยากาศอย่างที่เห็นว่าอินเดียจ๋าพาชวนฝันมาก

… “DAY 6 : UDAIPUR CITY”…

…เช้าวันรุ่งขึ้นตื่นมาด้วยความสดใสเพราะนอนกันเร็วมากสำหรับเมื่อคืนเพราะห้องกว้างใหญ่ แถมบรรยากาศก็ชวนนอนมาก .. เช้านี้จึงเริ่มด้วยอาหารเช้าที่จัดมาให้รับประทานกันบนดาดฟ้าเลย ซึ่งอาหารเช้านี้ตอนที่เราจองที่พักผ่านทางทราเวลโลก้านั้น เราก็สามารถเลือกได้ว่ามีราคาแบบรวมอาหารเช้า หรือไม่รวม .. ราคาก็จะต่างกันไปถ้ามีอาหารเช้าก็บวกเข้าไปอีกจากราคาห้องพัก ..

…ส่วนอีกเทคนิคในการเลือกที่พักของผมผ่านทราเวลโลก้าก็คือ จะพยายามเลือกให้ใกล้สถานที่สำคัญ ๆ เจ๋ง ๆ ที่เราต้องการจากเมืองนั้น ๆ อย่างเมือง Udaipur ที่เราพักนี้ไฮไลท์อยู่ที่ทะเลสาบ .. ผมก็เลือกที่พักที่อยู่ใกล้ทะเลสาบโดยเราสามารถดูได้จากในหน้ารายละเอียดของที่พัก เปิดเทียบกันหลายหน้าต่างเลือกกันได้เลย .. และนี่ก็คือลิ๊งค์ของที่พักนี้ครับ https://www.traveloka.com/th-th/hotel/india/hibiscus-guest-house-1000000441252

…สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวเมืองอุไดปูร์นั้นส่วนใหญ่ก็จะใช้วิธีนั่งรถสามล้อ หรือไม่ก็เดินๆๆๆ อย่างเราเองก็เดินเอานี่แหละครับ ยอมเมื่อยยอมเหนื่อยหน่อยกับสภาพอากาศแดดร้อน ๆ แต่โดยรวมถือว่าโอเคเพราะได้เห็นบรรยากาศของเมืองแบบช้า ๆ ค่อย ๆ ซึมซับกันไปกับวิถีชีวิตของเมืองอุไดปูร์

…ตั้งแต่วันแรกที่มาจัยปูร์ พุชการ์ จ๊อดปูร์ พอต่างเมืองฟิวล์ของแต่ละเมืองก็แตกต่างกันไป ซึ่งอุไดปูร์จะเป็นอย่างไรผมเองก็รอจะได้ยลโฉมได้รู้กันในวันนี้แล้วว่าจะโรแมนซ์ จะสวยงามมากน้อยแค่ไหน

…บรรยากาศสองข้างทางหลังจากที่เราเดินออกมาจากที่พักเรื่อย ๆ ก็จะเป็นทางถนน เป็นตรอกซอยแคบ ๆ เดินผ่านริมทะเลสาบ ข้ามสะพานมาเรื่อย ๆ ก็จะค่อย ๆ พบกับร้านขายของสินค้าที่ระลึก ร้านเสื้อผ้า ร้านกาแฟ และอื่น ๆ อีกมากมายหลากหลาย ความวุ่นวายจากหลายเมืองที่ผ่านมารู้สึกว่าที่อุไดปูร์นี่จะดูเบาลงไปสักเล็กน้อย เสียงแตรน้อยลง ความอึกทึกคึกโครมด้วยผู้คนแม้จะยังมีอยู่แต่ก็ถือว่าน้อยกว่า 3 เมืองที่ผ่านมาค่อนข้างมาก

…ยิ่งเดินยิ่งเริมซึมซับไปกับบรรยากาศ และเป้าหมายแรกของเราวันนี้ก็คือการเข้าชมพระราชวัง The City Palace Museum…

… “THE CITY PALACE MUSEUM”…

…เปิด 9.30 – 17.30 / ค่าเข้าชม 300 รูปี …

…จากชื่อเราจะเห็นว่ามีทั้งคำว่า Palace  และ Museum จึงแน่นอนว่าที่นี่นั้นเป็นทั้ง “พระราชวัง” และ “พิพิธภัณฑ์” โดยในส่วนของพิพิธภัณฑ์ก็จะรวม ๆ อยู่ภายในพระราชวังนี่แหละครับ เพียงแต่ว่าแบ่งเป็นโซน ๆ ให้นักท่องเที่ยวได้เดินตามกันไปเรื่อย ๆ ตามทาง .. เดินเข้าห้องนี้ไปทะลุห้องโน้นมาโผล่ห้องนี้เรียกว่าเดินกันเป็นเขาวงกตเลยสำหรับที่นี่ (ซึ่งก็รวมไปถึงหลาย ๆ ที่เราได้เที่ยวมาด้วยกันเช่นกัน)

…และนอกจากในส่วนของพิพิธภัณฑ์แล้วเราก็ยังได้เดินชมวิวทิวทัศน์จากภายในตัวพระราชวังมองออกไปด้านนอกด้วย เห็นวิวกันแบบสวย ๆ ของทะเลสาบ Pichola Lake ได้อีกมุมมอง… ส่วนภายในนั้นไม่ต้องพูดถึงเพราะแน่นอนว่าวิจิตรตระการตาตามสไตล์อินเดียอยู่แล้ว.. เรียกได้ว่าที่ The City Palace Museum ก็เป็นอีกที่ที่ใครมาอุไดปูร์ก็จะต้องแวะมาเพื่อชมความงามด้านใน และใช้เวลาไปกับการสัมผัสมนต์เสน่ห์ของพระราชวังที่สวยงามอีกแห่งของแคว้นราชสถานกัน

…มาในส่วนของเส้นทางการเดินเล่นที่อุไดปูร์นั้น เราสามารถเดินไปได้เรื่อย ๆ ตามทางถนนอย่างที่บอกตอนต้นว่าเราจะผ่านร้านค้าต่าง ๆ มากมาย และแน่นอนว่าเมืองนี้มีสิ่งหนึ่งที่หลายเมืองที่ผ่านมาเราแทบจะไม่ค่อยได้เห็นนั่นก็คือ “ร้านกาแฟ” นั่งชิลล์ที่หลาย ๆ คนถวิลหา อยากใช้เวลาเนิบ ๆ ช้า ๆ ไปกับชีวิตความเร่งรีบที่วุ่นวายในอินเดีย ซึ่งเมืองนี้ก็มีอยู่หลายร้าน แต่ว่าบรรยากาศระหว่างวันตอนกลางวันแบบนี้อาจจะยังไม่ค่อยเหมาะสักเท่าไหร่ เพราะว่าแดดกำลังดีเราจึงใช้เวลาไปกับการเดินเล่นเก็บภาพไปเรื่อย ๆ

…เมือง Udaipur เป็นเมืองทางตอนใต้ของรัฐราชสถาน ซึ่งจุดเด่นของเมืองนี้ก็จะแตกต่างกันไปอีกแบบกับเมืองอื่น ๆ ที่เราได้ผ่านมาทั้ง Jaipur (เมืองสีชมพู) Jodhpur (เมืองสีฟ้า) ส่วนที่นี่จะออกไปทางลักษณะสีขาว ๆ ซะมากกว่าในความคิดของผม แต่ที่แน่ ๆ ที่เห็นได้ชัดก็คือความชุ่มฉ่ำความดูเย็นสบายเพราะที่เมืองนี้มีทะเลสาบด้วยกันถึง 2 แห่ง ได้แก่ Pichola Lake และ Fateh Sagar Lake ซึ่งทั้งสองทะเลสาบนี้ก็มีกิจกรรมที่น่าสนใจอย่างเช่นการล่องเรือชมบรรยากาศได้ทั้งสองแห่งเลย

…และนอกเหนือไปจาก “City Palace” ที่เราได้แวะไปมา ก็ยังมีที่เที่ยวอีกหลายแห่งไม่ว่าจะเป็น Jagdish Temple (วัดฮินดูใจกลางเมือง), Lake Palace (พระราชวังกลางทะเลสาบ), Lake Garden Palace (สวนกลางทะเลสาบ), Monsoon Palace (พระราชวังบนยอดเขา Aravalli) ที่นี่ก็เป็นอีกจุดหนึ่งชมวิวที่คนมักจะขึ้นไปด้านบนเพื่อดูวิว Udaipur แบบสูง ๆ กันด้วย แต่วันที่เรามานั้นไม่ได้ขึ้นไปเพราะดูจากสภาพอากาศแล้วอากาศไม่เคลียร์ไม่ใส ขึ้นไปแล้วมองลงมาคงไม่เห็นอะไรมาก จึงจำใจต้องตัดทิ้ง และอีกหนึ่งสถานที่ที่เราสามารถเดินชมบรรยากาศริมน้ำได้สวย ๆ ที่ ก็เป็นอีกที่ที่เราจะไปเดินเล่นกัน

…มาถึงช่วงบรรยากาศยามเย็นที่แสงของดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คลายความร้อนแรงลงเราก็เลือกมาเดินเล่นริมน้ำกับอีกหนึ่งที่คลาสสิคที่แนะนำก็คือแถว “Ganguar Ghat” ซึ่งเป็นพื้นที่ติดริมทะเลสาบที่ผมว่าเราสามารถถ่ายรูปได้สวย ๆ เลยโดยเฉพาะช่วงเย็นที่แสงอาทิตย์ส่องเข้าตัวอาคาร นอกจากนี้บริเวณนี้ก็ยังมีร้านกาแฟอยู่หลายร้านให้เราเลือกนั่งจิบเครื่องดื่มพร้อมสัมผัสความระทวยยามเย็นกันได้อีกด้วย

…ส่วนกิจกรรมที่ใครหลายคนไม่ควรพลาดก็คือการนั่งเรือล่องชมบรรยากาศรอบทะเลสาบ อันนี้ก็เป็นอีกไฮไลท์ที่หลายคนเลือกให้เป็นช่วงเวลาสุดแสนพิเศษสำหรับช่วงเวลายามเย็นโดยเราสามารถล่องเรือได้ทั้ง 2 ทะเลสาบ แต่ในวันนี้เราขอเลือกเป็น Pichola Lake เพราะอยากได้มุมของพระราชวัง City Palace สะท้อนน้ำแบบสวย ๆ กันด้วย…

…ถ้าถามว่าวิวไหนที่เหมาะสมสำหรับการถ่ายภาพช่วงเย็นที่ Udaipur ผมว่าอันนี้แล้วแต่มุมมองของแต่ละคนแล้วแหละครับ โดยเราอาจจะเล็งไว้ก่อนในช่วงระหว่างวันดูไว้ว่ามุมไหนที่อยากได้ แสงอาทิตย์ตกด้านไหนเพื่อให้ได้ภาพที่ต้องการ อย่างในภาพช่วงเย็นนี้ผมเลือกอยู่ฝั่งตรงข้าม City Palace เพราะจะได้ภาพของพระจันทร์ที่โผล่ขึ้นเป็นฉากหลังด้วย

…ปิดท้ายหนึ่งวันเต็ม ๆ กับเมืองอุไดปูร์โดยตลอดวันที่ผ่านมาผมเองก็ได้สัมผัสถึงมนต์เสน่ห์ ถึงความเป็นอุไดปูร์ที่แตกต่างไปจากเมืองต่าง ๆ ที่ผ่านมา เรียกว่าพอเปลี่ยนเมือง อารมณ์ของเมืองก็เปลี่ยนตาม ถ้าถามว่าอุไดปูร์นั้นสวยงามแค่ไหนผมว่าสวยงามมาก และมีอะไรที่ดูเรียบง่าย ดูสงบ ดูวุ่นวายน้อยกว่าในหลาย ๆ เมืองของอินเดีย .. แม้เวลาอาจจะน้อยไปสักนิดเพราะเท่ากับว่าเราได้เที่ยวที่เมืองนี้แค่วันเดียว ถ้าได้นอนต่ออีกสักคืนเที่ยวอีกสักวันรับรองคงได้เจอะได้เจออะไรที่มากมายกว่านี้แน่นอน … ไม่เป็นไรไว้ครั้งหน้าค่อยมาใหม่ ว่าแล้วก็กลับเข้าที่พักเตรียมตัวเดินทางกลับจัยปูร์ในวันรุ่งขึ้นกันแต่เช้าต่อเลย

… “DAY 7 : BACK TO JAIPUR”…

…และแล้ววันสุดท้ายของการเดินทางก็มาถึง วันนี้เราเดินทางกลับกันแต่เช้าสักหน่อยโดยออกจากอุไดปูร์กันตั้งแต่ประมาณ 7 โมงเช้า เพราะระยะทางจากอุไดปูร์กลับไปยังเมืองจัยปูร์อยู่ที่ประมาณ 400 กิโลเมตร โดยตั้งใจว่าจะไปถึงเมืองสักประมาณช่วงบ่าย ๆ โดยเผื่อเวลาแวะพัก แวะกินระหว่างทางไว้เรียบร้อย

… “JAL MAHAL : พระราชวังกลางน้ำ”…

…ในที่สุดก็กลับมาถึงเมืองจัยปูร์อีกครั้งโดยไฟล์ทกลับของเราในค่ำคืนนี้อยู่ที่ไฟล์ทตอน 00.50 น. ดังนั้นเวลาจึงมีล้นเหลือเฟือกว่าที่จะกลับไปสนามบินอีกครั้ง โดยที่แรกหลังจากกลับมาเหยียบจัยปูร์อีกครั้งก็คือ “Jal Mahal” หรือพระราชวังกลางน้ำ ซึ่งตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางทะเลสาบมันสกา (Mansagar) โดยเราสามารถให้คนขับรถจอดรถไว้ที่ข้างทางได้แล้วเราก็มาเดินโฉบเดินชมบรรยากาศริมน้ำ โดยนอกเหนือไปจากความงดงามของพระราชวังกลางน้ำแล้วบริเวณริมถนนยังเต็มไปด้วยร้านค้า แผงลอย หาบเร่ต่าง ๆ ที่ชาวบ้านทั้งหลายมาวางของขายให้เราได้เห็นสีสันแบบอินเดียในยามเย็นอีกสักครั้ง

… “NAHARGARH FORT”…

…มาถึงสถานที่ปิดท้ายการเดินทางแคว้นราชสถานกันที่ป้อม Nahargarh Fort หลังจากโอ้เอ้อยู่พักใหญ่ทำตัวเหมือนไม่คิดถึงบ้านเดินเล่นอยู่ริมถนนถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ จนได้เวลาที่แสงยามบ่ายค่อย ๆ เย็นลงเราจึงรีบมุ่งหน้ามาที่ป้อมแห่งนี้เพื่อรอชมพระอาทิตย์ตก ซึ่งว่ากันว่าที่นี่ก็คืออีกหนึ่งจุดชมวิวที่เราสามารถมองเห็นเมืองจัยปูร์ได้แบบกว้าง ๆ และชัดเจนอีกแห่งหนึ่งของเมืองด้วย

…Nahargarh Fort ตั้งอยู่บนเทือกเขา Aravalli Hills โดยอยู่ใกล้ ๆ กันกับ Amber Fort และ Jaigarh Fort .. ซึ่งเดิมทีป้อมแห่งนี้เคยเป็นปราการกำแพงป้องกันเมืองเมื่อในอดีต แต่ในทุกวันนี้กลับกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความยิ่งใหญ่และงดงามอลังการไม่แพ้ที่ไหน ๆ ในราชสถาน .. โดยช่วงเวลาที่ว่ากันว่าสวยที่สุดก็คือยามเย็น ซึ่งเราก็เดินทางกลับมาได้ทันเวลาพอดิบพอดี..

…เวลาของการเดินทางครั้งนี้ค่อย ๆ หมดลงไปทีละน้อยก่อนที่เราจะเดินทางกลับไปยังสนามบินจัยปูร์เพื่อรอขึ้นเครื่องกลับ ผมก็ขอเก็บภาพบรรยากาศช่วงท้องฟ้าเปลี่ยนสีส่งท้ายล่ำลาอินเดียกันไว้ ณ ที่แห่งนี้ ..

…ตลอดระยะเวลา 7 – 8 วันที่ผ่านมาตั้งแต่นาทีแรกที่รู้ว่าจะได้เดินทางจนถึงตอนนี้ที่การเดินทางใกล้สิ้นสุดลง ความรู้สึกต่าง ๆ ที่มีนั้นเปลี่ยนไปมากมายราวฟ้ากับดิน.. เพราะจากที่เคยไม่เหลียวแม้แต่จะคิดชำเลืองกลับกลายเป็นว่าเราได้เห็น ได้รู้ ได้สัมผัสถึงความสวยงามในมุมมองด้านที่เป็นความสุขในการเดินทาง และประสบการณ์ที่ดี ๆ กลับไป ..โดยอยู่บนเอกลักษณ์พื้นฐานของความเป็นอินเดียที่เราหลีกหนีไม่ได้ หลบไม่พ้น ไม่ว่าจะเสียงแตร เสียงอึกทึกคึกโครม ภาพความวุ่นวาย ความเกะกะ และเรื่องราว ๆ ต่าง ๆ ที่ทำให้เราเชื่อว่านี่อาจจะเป็นที่เดียวบนโลกใบนี้ที่มีอะไรแบบนี้ก็เป็นได้

…แน่นอนครับว่าไม่มีอะไรจะทำให้เราได้เห็นมากไปกว่าคำว่า “เปิดใจ ยอมรับ และเข้าใจ” เพราะเมื่อสามสิ่งนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องกันแล้วผมเชื่อเลยว่าเราอาจได้โลกใบใหม่ ได้ทัศนคติได้มุมมองใหม่ ๆ ที่จะทำให้เราเห็น และเข้าใจอะไรได้มากขึ้น เหมือนกับการเดินทางสู่ประเทศอินเดียในครั้งนี้ ซึ่งเป็นครั้งแรกของผมแต่ก็กล้าบอกได้ว่า เหลือเชื่อ และเกินคาดกว่าที่คิดไว้เยอะมาก…

….จากอะไรที่เคยยาก แต่ในการเดินทางเรากลับทำให้ดูง่ายหมด มันก็จะทำให้เราเที่ยวได้อย่างมีความสุข มีแบบแผน และได้ประสบการณ์ดีดีกลับไปบอกเล่าต่อแน่นอน…

…ใครที่อาจจะไม่เคยเหลียวแลอาจมีเปลี่ยนใจ ใครที่มาแล้วอาจอยากมาซ้ำ หรืออาจจะไม่อยากมาอีกทุกอย่างล้วนเกิดได้หมด.. แต่เชื่อผมเถอะครับว่าอินเดียนั้นหากเราวางแผนดีดีเตรียมตัวทำการบ้านก่อนเดินทางกันให้ดีแล้ว.. ความสุข และประสบการณ์ที่ได้รับกลับมานั้นจะบอกเราทันที่ว่าคุ้มค่ามากมายที่ได้เดินทางมายังประเทศนี้.. แล้วจะรู้ว่า “อินเดีย.. ไม่เพลียอย่างที่คิด”….

Facebook Comments
Please follow and like us:
20