…ไม่เจอตั้งนานเมืองกาญจน์ยังเหมือนเดิม…
…เป็นจังหวัดที่ไปอยู่เรื่อย ๆ เป็นจังหวัดที่ไม่ค่อยได้นึกถึงขึ้นมาเท่าไหร่ แต่ไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตามมันมีสาเหตุให้ผมเป็นต้องมีไปเมืองกาญจน์อยู่เสมอ ๆ ไปมาตั้งแต่ยังสมัยเด็กดีดลูกแก้ว เป่ากบ 7-8 ขวบ(ยอมให้รู้ยุครู้วัยกันเลยทีเดียว 555 ) ปิดเทอมทีครอบครัวก็ขนกันไปล่องแพที 7-8 วันตามเขื่อน … เรียนประถมโรงเรียนก็พาไปทัศนศึกษา เข้าปวช.เพื่อนก็ชวนไปนั่งรถไฟเล่น สมัยตอนทำงานธนาคารที่แผนกก็จัดให้ไปล่องแพ พายเรือ .. ครั้นลาออกมาเริ่มถ่ายรูปเป็นช่างภาพแบบจริง ๆ จัง ๆ กับชีวิตก็ยิ่งมีให้เดินทางมาที่นี่อยู่เรื่อย ๆ ..สงสัยชาติที่แล้วจะผูกพันกับดินแดนตะวันตกแถบนี้ไว้พอสมควรเลยได้กลับมาบ่อย ๆ …
…มาถึงล่าสุดกลางเดือนที่ผ่านมาก็ได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยือนเมืองกาญจน์อีกแล้ว คราวนี้โดนเพื่อนลากตัวให้ไปร่วมแจมระหว่างทางโดยคุณเพื่อนรุดหน้าไปกาญจนบุรีลั้ลลาไปวันสองวันแล้ว เราค่อยนั่งรถตู้จากกรุงเทพฯ ตามไปสมทบ.. ทำให้นึกได้ว่าเป็นจังหวัดเดียวในประเทศไทยที่ผมเดินทางไปด้วยครบทุกเส้นทางแล้วทั้งขับรถไปเอง นั่งรถไฟ นั่งรถบขส. ครั้งนี้นั่งรถตู้ จะเหลือก็แต่ว่ายน้ำไป(จะไปยังไง) กับรอสายการบินเปิดเส้นทางกรุงเทพ – กาญจนบุรี อะไรประมาณนี้เพ้อเจ้อไปเรื่อย…
…โดยจุดหมายปลายทางหลัก ๆ เลยก็คือ “สังขละบุรี” สุดขอบชายแดนเลยครับ.. ตัวผมเองถ้านับครั้งนี้ก็จะเป็นสังขละบุรีครั้งที่ 4 ในชีวิตที่ได้ไป .. ใจก็อยากรู้ว่ารูปร่างหน้าตาจะเปลี่ยนไปแค่ไหนไม่รอช้า กล้องพร้อม เงินพร้อม กระเป๋ากล้อง กระเป๋าเสื้อผ้าพร้อมก็ออกเดินทางกันโลด
ป.ล. อัลบั้มนี้ผมใช้กล้อง Nikon DF บวกเลนส์สามตัว 14-24 mm / 50 f1.8 / 135 f2 แล้วก็นำภาพมาปรับเล่นนิด ๆ หน่อย ๆ ในโปรแกรมให้ภาพดูแนว ๆ นิด ๆ (แนวอะไรก็ไม่รู้.. แต่อยากให้ดูกันเพลิน ๆ ไปพร้อม ๆ กันเลยครับ)…
*************************************
MORNING RUN!!!
…การเดินทางเริ่มขึ้นที่ท่ารถตู้แถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ข้าง ๆ ห้างเซ็นจูรี่ ตามแผนที่เลยครับ(ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงสำหรับแผนที่จาก easymap.in.th สวยงามชัดเจน) …จะเป็นซอยข้าง ๆ ห้างเดินเข้ามาด้านในจะมีรถตู้เรียงรายจอดกันโดยพร้อมเพรียงรอเรียกรับผู้โดยสารขึ้นรถ ใครจะไปจังหวัดไหนก็ดูตามป้ายได้เลย แต่ก่อนอื่นก็มาซื้อตั๋วก่อน เราจะไปกาญจน์ก็ซื้อตั๋วเมืองกาญจน์ที่ “วินแฮปปี้” จะไปถึงตัวสถานีขนส่งที่ตัวเมือง ราคา 120.- ครับ .. รายละเอียดเบอร์โทรดูในรูปได้เลย
…ตอนถามพนักงานว่าเดินทางนานแค่ไหน ตอบกลับมา 3 ชั่วโมง แต่เอาจริง ๆ วันนั้นเป็นเช้าวันอาทิตย์รถออก 8.30 น. ขึ้นรถตู้ฝึกการทรงตัวระหว่างหลับไปเรื่อย ๆ ใช้เวลาถึงสถานีขนส่งตอน 10.20 น. เร็วมาก 2 ชั่วโมงเท่านั้น 120 บาท .. นั่งแท๊กซี่ไปดอนเมือง 30 นาที 300 บาท .. คุณภาพชีวิตต่างกันโดยสิ้นเชิง 5555
…เมื่อถึงสถานีขนส่งที่ตัวเมืองเรียบร้อยก็จัดการโทรตามคุณเพื่อนให้รีบขับรถมารับเพื่อหนีบเราขึ้นรถไปด้วยกัน ระหว่างรอ
ENJOY EATING
…ตื่นแต่เช้า ข้าวเช้าก็ไม่ได้กิน ขึ้นรถก็หลับใช้พลังงานไปเยอะกับการฝึกวิทยายุทธ์การทรงตัวในที่แคบเผาผลาญพลังไปหลายอยู่ เมื่อรถคุณเพื่อนที่เช่ามามาถึงขนของขึ้นรถเสร็จก็มุ่งหน้าเลย “สังขละบุรี !!!!!” ม่ายยยช้ายยยย ยังไกลไปเดี๋ยวไส้ขาด…ก็หากินแถว ๆ นั้นแหละครับเพื่อนบอกมาว่าร้านนี้อร่อย เราพลนั่งไม่ใช่พลขับก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ก็ต้องเลยตามเลยลงเอยที่ “แจ๋วโภชนา” ร้านตั้งอยู่ในบ้านตรง ถ.ปากแพรก ตรงข้ามศาลเจ้ากวนอิม .. หรือใครจะเปิดกุเกิ้ลแมพพิกัดนี้เลยครับ https://goo.gl/maps/
…จริงจังแค่ไหน แค่ไหนเรียกจริงจัง ก็ไม่รู้ครับ แต่ที่แน่ ๆ ร้านนี้อร่อยจริง ซัดไป 2 ชามแบบไม่ต้องปรุงก็อร่อยได้ ติดใจเลยถ่ายภาพบริเวณแถวร้านมาหน่อยครับเผื่อช่วยอะไรได้บ้างจะเป็นเหมือนโซนบ้านเก่า ๆ ซอยเก่า ๆ น่ะครับ
…หนังท้องตึง หนังตาก็เริ่มหย่อน แต่หลับไม่ลงครับ เสียงในรถนี่เหมือนเลี้ยงนกแก้วพันธุ์ถนัดพูดไว้ 18 ตัว ทั้งที่มีกันอยู่แค่ 4 คน … ก็นั่งฮากันไป ตาก็อยากจะปิด ฮาก็อยากจะฮา …ก็ขับกันไปนั่งกันไปตามเส้นทางทางหลวงหมายเลข 323 มุ่งหน้า อ.ทองผาภูมิ ระหว่างทางก็จอดแวะข้างลงเดินยืดเส้นยืดสายบ้าง พอถึงทองผาภูมิปุ๊บก็จะผ่าน “เขื่อนวชิราลงกรณ์” หรืออีกชื่อจำง่าย ๆ ว่า “เขื่อนเขาแหลม” ….
…ระยะทางจากร้านก๋วยเตี๋ยวมาถึงเขื่อนเขาแหลมประมาณ 150 กม. โดยทางหมายเลข 323 ที่เราขับมานั้น หากใครจะแวะเที่ยว “ปราสาทเมืองสิงห์” ก่อนก็ทำได้ครับ .. เราเองก็แวะไปแป๊บนึง แล้วจึงมาที่นี่กันต่อ…หามุมสวย ๆ หาที่จอดรถได้เรียบร้อยก็เดินเล่นริม ๆ น้ำในเขื่อน อากาศดีมาก… ไม่มีแดดเลย แถมฝนยังตกลงมาเบา ๆ หยุด ๆ สลับเป็นช่วง ๆ ให้เราเย็นฉ่ำสบายกายอยู่เป็นระยะ ๆ ยืนมองวิวทิวทัศน์รอบตัวแล้วบอกได้คำเดียวว่า “ชื่นหัวใจ”…
…นานมากแล้วที่ไม่ได้อยู่ท่ามกลางบรรยากาศเย็น ๆ แบบนี้ มีทั้งภูเขา ทั้งน้ำในเขื่อน นกบิน มีหมอกโรยตัวโชยไปมาอยู่เหนือเขา เห็นแล้วมีความสุขสบายกายสบายตา …ว่าแล้วก็ไปยืนเล่นมิวสิควิดีโออยู่ริมเขื่อนก็เท่ไม่น้อยครับ(คิดเอง เออเอง 555)
…บรรยากาศโดยรอบเป็นไปแบบเงียบ ๆ เพราะไม่มีนักท่องเที่ยวเลยแม้แต่คนเดียว นอกจากเรา 4 คน .. จะมีก็เพียงชาวบ้าน และคนที่อยู่ที่นั่นที่พอให้เห็นว่ายังมีความเคลื่อนไหวอยู่… จริง ๆ วันนี้ก็ตรงกับวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันหยุดพักผ่อนแต่ด้วยความที่อาจเป็นต้น ๆ หน้าฝน ทำให้หลายคนอาจไม่อยากมาเที่ยวเพราะกลัวเปียก แต่ผมว่าถ้าช่วงที่ฝนหยุดตกนี่ถือว่าเป็นช่วงที่เราได้รับความชุ่มฉ่ำไปแบบเต็ม ๆ เลยนะครับ
…เต็มอิ่มจากเขื่อนวชิราลงกรณ์ตอนบ่าย ๆ เราก็ขับมาต่อโดยจุดหมายที่ตั้งใจจะไปนอนในคืนแรกวันนี้ก็คือที่ “เหมืองปิล๊อก” โดยใช้เส้นทางหมายเลข 3272 บ้านไร่อีต่องเป็นหลัก ซึ่งระหว่างทางที่จะไปถึงเหมืองปิล๊อกคราวนี้พวกเราก็ได้ชุ่มฉ่ำกับสายฝนตลอดทางเลย
…กระจกรถที่เปิดรับลมก็เป็นอันต้องปิดไปเพราะฝนตกตลอดเลย มีช่วงที่ซาได้หน่อยก็จังหวะโชคดีที่เราแวะพักกันบริเวณจุดชมวิวข้างทาง(กม.12 หรือ กม.15 ผมไม่แน่ใจ) ก็ปล่อยให้ตกไปครับ ถ่ายรูปกันทั้งเปียก ๆ นี่แหละ .. วิวมันสวยมีหมอกไหลไปตามทิวเขาด้านหน้าถ้าได้ไอติมสักแท่งมาชิมคั่วบรรยากาศคงฟินไม่น้อย.. แล้วเราก็ถึงที่หมายที่บ้านพักโฮมสเตย์แถวเหมืองปิล๊อก แต่ผมไม่ได้ถ่ายภาพมาสักใบเพราะฝนตก..
…เช้าวันถัดมาฝนยังตกไม่หยุด เราออกเดินทางอีกครั้งตอนประมาณสาย ๆ 9 โมงกว่าหน่อยก็ออกย้อนกลับมาทางเดิมแล้วจึงแวะ “น้ำตกจ๊อกกระดิ่น” .. นาทีแรกที่จอดรถแล้วเดินไปหาเจ้าหน้าที่เพื่อจ่ายเงินค่าเข้าอุทยาน เจ้าหน้าที่ถึงกับทำหน้างง “น้องมาเที่ยวอะไรกันวันนี้” .. พี่เจ้าหน้าที่คงงงว่าวันจันทร์แท้ ๆ ดันมีคนมาเที่ยว .. ผมเลยบอกกลับไปว่า “เดี๋ยวนี้เค้าฮิตเที่ยววันธรรมดากันครับพี่ .. คนน้อยดี” แต่จะว่าไปจะไม่ดีก็ตรงหาของกินนี่แหละ ร้านรวงบางสถานที่ก็ไม่ขาย.. เอาน่ะก็แลกกันไป
…น้ำตกจ๊อกกระดิ่น อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ เป็นน้ำตกขนาดน่ารัก ๆ เมื่ออยู่ไกล แต่เมื่อเข้าใกล้แล้วก็อลังการอยู่พอประมาณ สภาพท้องฟ้าที่ไม่ค่อยมีแดดแบบนี้จริง ๆ แล้วก็ถือว่าสามารถถ่ายน้ำตกออกมาให้นุ่มเย็นเห็นเป็นเส้นสายได้ไม่ยากเท่าไหร่นัก แต่ลมที่แรงทำให้ละอองน้ำตกกระเซ็นเข้ากล้องตลอดเวลาทำให้ไม่ค่อยอยากลงไปเข้าใกล้สักเท่าไหร่ แต่แค่ได้มาเห็นสายน้ำร่วงหล่นมาจากด้านบนก็ชื่นใจไปหลายฉ่ำแล้ว…
…จากน้ำตกจ๊อกกระดิ่นเราก็ขับออกมาตามเส้นทางเดิมผ่านเขื่อนเขาแหลมอีกครั้ง เพื่อมายัง อ.ทองผาภูมิมุ่งหน้าขึ้นเหนืออีกครั้งตรงดิ่งไปยัง อ.สังขละบุรี อีกประมาณ 75 กิโลเมตรจุดหมายปลายทางเราในคืนวันจันทร์วันที่สอง…
…ระหว่างทางขับผ่านบริเวณจุดตรวจก็จะเป็นสะพานคอนกรีตเพื่อเดินทางต่อไปยังตัวสังขละฯ ก็แวะถ่ายรูปเล่นเดินยืดเส้นยืดสายสักหน่อย หลังจากนั่งขดอยู่ในรถมาชั่วโมงเศษ ๆ .. อากาศยังครึ้ม ๆ เย็น ๆ เหมือนที่ผ่านมา วิวข้างทางที่เห็นทิวเขาก็มีสายหมอกจับตัวรวมกันให้เรามองเห็นได้ชัดสร้างความงดงามให้กับธรรมชาติ และความสุขทางสายตาให้กับเราได้มากมาย
…ในที่สุดก็มาถึงจุดหมายปลายทางโดยสวัสดิภาพ “สังขละบุรี” ครั้งที่ 4 ในชีวิต .. วันนี้บางอย่างที่นี่เปลี่ยนไป แต่หลายอย่างก็ยังคงเหมือนเดิม สายน้ำ และขุนเขายังคงวางตัวอยู่ที่เดิม เรือนแพบ้านพักต่าง ๆ ดูมากมายขึ้น แต่ถ้าถามว่าเยอะเกลื่อนกลาดดูขัดกับสภาพแวดล้อมโดยรอบที่นี่มั้ย ผมว่ายังถือว่าโอเคอยู่ผิดกับหลายที่ในบ้านเราที่ความเป็นท้องถิ่นถูกกลืนไปจนแทบเลือนหาย…สะพานไม้ที่เคยแตกหักพังไป ก็เป็นเวลานานแล้วที่มีการสร้างสะพานไม้คืนกลับมา.. เพื่อเป็นเส้นทางสัญจร และเป็นสัญลักษณ์ของที่แห่งนี้
…หลังจากหาที่พักได้วางสัมภาระเสร็จสรรพก็เริ่มต้นด้วยการ “นั่งเรือชมบรรยากาศ” ก็เลือกแบบจัดเต็มเลยครับเหมาเที่ยวชม 3 วัด ราคาที่ได้มาคือ 500 บาท ส่วนที่พักผมหาเอาที่ใกล้ ๆ กับทางลงไปสะพานมอญชื่อ “ลดามาศ” จะอยู่ด้านขวาก่อนถึงสามประสบรีสอร์ทประมาณ 300 เมตร
…ระหว่างทางตั้งแต่วันแรกที่มาบอกตรง ๆ ว่าผมเองก็หวั่น ๆ ใจอยู่ว่าเมื่อมาถึงสังขละฯ แล้วสภาพอากาศไม่รู้จะเป็นยังไง แม้ว่าฝนจะทำให้ชุ่มฉ่ำ และรู้สึกเย็นสบาย แต่ก็กลัวที่สุดเหมือนกันเพราะอยากนั่งเรือชมบรรยากาศภายในเขื่อนมาก ซึ่งฟ้าฝนก็เป็นใจเหมือนรู้แรงปรารถนาของเรา 5555 ดราม่าไปนั่น เพราะพอมาถึงได้สักพักฝนก็หยุดตก .. พวกเราจึงไม่รอช้ารีบลงเรือกันก่อนเลย
…ลมเย็นสบายปะทะหน้าแบบเต็ม ๆ นั่งเรือหางยาว เสียงเครื่องเรือกลบทุกเสียงที่อยู่รอบ ๆ เราทั้ง 4 ต่างมีความสุขกับที่นั่งใครที่นั่งมัน และวิวสองข้างที่มองไปแล้วรู้สึกโล่งสบายตา สีเขียว ๆ จากต้นไม้ตามริมเขื่อน สีฟ้านิด ๆ จากท้องฟ้าที่พอหลังหยุดตก ก็มีให้เห็นความเป็นท้องฟ้ามากขึ้น…ชาวบ้านที่ขับเรือพายเรือไปมาก็พายสวนแล่นสวนกันไป เก็บภาพได้เรื่อย ๆ เพลิน ๆ สนุก ๆ เลยครับตอนนี้
…จากนั้นก็ถึงจุดแรกที่เราแวะลงหลังจากจอดเรือพักกันที่ “วัดจมน้ำ”
…เดินเล่นกันสักพักพอเก็บภาพได้ประมาณหนึ่งจนพอใจก็นั่งเรือกินลมชมวิวกันต่อ
…ตอนนั่งเรือไปก็พลางคิดในใจไปว่าโชคดีมากที่ฝนนั้นหยุดตก เพราะหากยังตกไม่หยุดโอกาสที่จะได้มานั่งเรือชมแบบนี้นั้นคงเป็นไปได้ยากแน่นอน…มุมนั้นมุมนี้วิวนั้นวิวนี้ตลอดเวลาที่เรานั่งอยู่ในเรือหางยาวกิจกรรมที่หนีไม่พ้นก็คือการถ่ายรูป
…สังขละในวันนี้ที่ได้มาเยือนแม้หลายอย่างจะทำให้ผมไม่คุ้นตาอย่างบริเวณตลาดที่ขับผ่านไปที่ดูมีอะไรเยอะขึ้น ที่พักก็มีให้เลือกมากมายกว่าเดิม แต่พอมาล่องเรือนั่งชมทัศนียภาพในเขื่อนแล้วทุกอย่างก็ถูกดึงกลับไปวันเวลาเดิม ๆ เหมือนที่เคยมา…
…ความทรงจำที่เคยมากับเพื่อนร่วมทางเก่า ๆ ทั้ง 3 ครั้ง ก็ถูกดึงย้อนกลับมาตลอด.. ความสุขคือปัจจุบันที่ได้สัมผัส ส่วนความคิดถึงก็มีไว้ให้นั่งอมยิ้มได้เบา ๆ ..
…นั่งเหม่อไปเหม่อมารู้สึกตัวอีกทีเรือก็เทียบฝั่งให้เราลงเดินถ่ายรูปเล่นกันอีกครั้งกับวัดริมน้ำ
…มาสังขละฯ ทุกครั้งผมเองก็ไม่ได้นั่งเรือทุกครั้งไปหรอกครับ เคยนั่งแค่ครั้งเดียว แล้วที่สำคัญมาตอนหน้าที่น้ำเยอะเรื่องวัดจมน้ำที่จะได้เห็นนั้นก็ตัดไปได้เลย มาคราวนี้เรียกได้ว่ามาทั้งทบต้นทบดอกครบเลย เรือก็นั่งแถมนั่งแบบจัดเต็มชั่วโมงกว่า ๆ รวมเดินเล่น.. บอกเลยว่า 500 บาท หาร 4 คน คนละร้อยกว่าบาทนั้นคุ้มมากสำหรับเรา…
…บรรยากาศวิถีชีวิตริมน้ำที่สังขละยังมีเสน่ห์อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นบนสะพานไม้ หรือจะตรงไหนก็ตาม เคยมีคนถามผมบ่อย ๆ ว่าที่นี่สวยมั้ย สังขละบุรีสวยแค่ไหน ผมเองก็ตอบกลับไปทุกครั้งว่าที่นี่ไม่ได้สวยอะไรมาก ไม่ได้มีภูเขาลูกโต ๆ ไม่ได้มีทุ่งกว้าง ๆ แต่มีหลายอย่างที่มันได้อรรถรส ได้รสชาติ ได้บรรยากาศแบบไทย ๆ ได้กลิ่นไอของวัฒนธรรมที่เราสามารถสัมผัสได้โดยง่าย
…จะชาวมอญ ชาวไทย ฝั่งนี้ หรือฝั่งนู้นก็ไทยเหมือนกัน .. จะผู้ใหญ่ จะตัวเล็ก จะเรียนหนังสือ หรือช่วยพ่อแม่ทำงานแล้วที่นี่ล้วนมีวิถีในแบบที่เคยมา.. ผมเดินเล่นไปมาระหว่างรอขึ้นเรืออีกครั้งก็หาอะไรถ่ายไปเรื่อย ไปยืนเป็นแบบบ้าง ถ่ายเด็กนักเรียนบ้าง .. น่ารักมาก ๆ เวลาเลิกเรียนแล้วเดินกลับบ้านกันหลาย ๆ คน
…หมดเวลาสนุกแล้วสิ .. หมดเวลาสนุกแล้วสิ
…ก็หมดไปแค่กับการนั่งเรือแต่กับการซึมซับบรรยากาศที่นี่ยังไม่เพียงพอ หลังจากเรือเทียบท่าจ่ายเงินค่าเรือไปเรียบร้อย เราก็มาเดินเล่นบนสะพานไม้กันต่อ.. ยามเย็นแม้วันนี้จะไม่มีแสงสีทองส่องมาสักเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะขอแค่ฝนไม่ตกลงมาเราก็เดินเล่นกันต่อได้สบายแล้ว
…อยู่บนสะพานไม้ก็เดินเล่นไปเรื่อย เดิน ๆ หยุด ๆ หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายเก็บบรรยากาศไปทีละนิดละหน่อย ไม่ได้จริงจังอะไรมากกับวันพักผ่อน ยิ่งทริปนี้เปลี่ยนเอาเจ้า Nikon DF มาเที่ยวแทนกล้องใหญ่ยิ่งพกสบาย เดินเหินได้คล่องตัวเลย
…เดินไปเดินมาเพื่อนผมก็ไปเจอกับสาวน้อยนางหนึ่ง ผมจึงดึงเธอมาถ่ายภาพสักหน่อย.. เธอชื่อ “ลลิตา” เป็นสาวน้อยที่เจื้อยแจ้วได้แบบอินฟินิตี้ นิรันดร ไม่รู้จบมาก ๆ ครับ.. เธอคุยเก่ง ชวนคุยสารพัด เหมือนผีเสื้อที่กระพือปีกไม่หยุด และไม่คิดจะเหนื่อย..
…ถามเธอเธอบอกว่ามาเดินเล่น ผมก็ขำในใจว่ามาเดินเล่นแบบจัดเต็มมาก 5555 รอยยิ้มสดใสดีครับ จะมีบ้างที่ผมขอให้เธอเข้ามุมสงบทอดอารมณ์มองไปที่ลำน้ำด้านล่าง เธอก็เชื่อฟัง.. ใครไปสังขละฯ แล้วตามหาเธอเลยนะครับ นางแบบคนนี้อนาคตไกลแน่นอน ^^
…ปล่อยเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ จนเข้าสู่ช่วงโพล้เพล้ก็มาเตรียมหามุมถ่ายภาพแสงทไวไลท์สักหน่อย น่าเสียดายที่ไฟบนสะพานเสียมาได้ 3 วันแล้ว เลยติดอยู่แค่เกือบครึ่งสะพาน…
…สงสัยจะเป็นเหมือนสัญญาณให้เราได้กลับมาอีกแน่ ๆ (หาเรื่องเที่ยวอีกจนได้) .. หลังจากถ่ายรูปแสงเย็นเสร็จเป็นที่เรียบร้อย(ยืนรอตั้งนานถ่ายมาได้แค่ใบเดียว เพราะผมโดนยุงกัดเลยกลับมาขึ้นรถก่อน) หลังจากนั้นก่อนจะเข้าที่พัก ก็มุ่งหน้าไปเติมพลังหาซื้อขนม ของกินกันที่ตลาดเป็นลำดับต่อไป
…ก็กินข้าวแถวตลาดนี้แหละครับ ลูกชิ้นทอด ไส้กรอกอีสาน น้ำตก ส้มตำ ไก่ย่าง ขนมหวาน สารพัดชนิดอะไรที่ในตลาดควรจะมีที่นี่ก็มีหมด เราเองก็เลือกกินข้าวตามสั่งคนละจานจากร้านในตลาดนี่แหละครับ…อิ่มแล้วก็แวะซื้อขนม เครื่องดื่ม ไปนั่งกินหน้าที่พัก จิบบรรยากาศยามค่ำพร้อมฝนพรำ ก็จะหลับที่นี่เป็นคืนสุดท้ายเพื่อเตรียมเดินทางกลับในวันอังคารวันพรุ่งนี้…
…ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ต้องโบกมือบ๊ายบายให้กับสังขละบุรีครั้งที่ 4 ของผมแล้วในเช้าวันสุดท้ายของการเดินทางครั้งนี้.. “สะพานซองกาเลีย” สะพานคอนกรีตที่ทุกครั้งที่ผมมาก็จะมายืนตรงนี้นิ่ง ๆ เฝ้ามองอะไรที่อยู่ตรงหน้าทั้งที่มีชีวิต และเคลื่อนไหวอย่างเรือชาวบ้าน นกที่บินผ่านไปมา หรือแม้แต่ต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่ร่วมกับสะพานไม้สะพานมอญสัญลักษณ์แห่งสังขละบุรีที่อยู่คู่ดินแดนแถบนี้มาช้านาน…
…การเดินทางต้องสิ้นสุดลง .. แต่การสิ้นสุดก็ไม่ใช่สุดท้ายเป็นอย่างแน่นอน เราถึงเส้นชัยเพื่อเดินไปต่อ เราหยุดวันนี้ก็เพื่อเดินต่อไปในวันนี้ .. การเดินทางครั้งนี้ก็เช่นกันที่ผมเชื่อว่าผมก็จะต้องได้กลับมาที่นี่อีกเป็นอย่างแน่นอน สาเหตุที่ได้มาเมืองกาญจน์บ่อย ๆ ไม่ใช่เพราะผูกพันกันมาแต่ชาติปางก่อนหรอกครับ.. แต่เพราะชาติปางนี้ต่างหากที่เราสัมผัสได้ เดินทางมาได้ มารับรู้มาเที่ยวมากินมานอน สัมผัสกับบรรยากาศดีดีในแบบไทย ๆ … พร้อมแล้วรักใครอยากชวนใครเดินทางก็ชวนไปเที่ยวกันเลยครับ เมืองไทยที่เที่ยวเยอะ.. แล้วเจอกันใหม่อัลบั้มหน้า …
…สำหรับอัลบั้มนี้โบกมือลาไปก่อนแต่เพียงเท่านี้ สวัสดีเพื่อน ๆ ทุกคนครับ
เรื่อง : ภาพ / Forzanu