…มนต์เสน่ห์มรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งสยามประเทศ…

: อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย :

…เมื่อเอ่ยถึงคำว่า “มรดกโลก” เชื่อเหลือเกินว่าใคร ๆ หลายคนก็จะต้องมีความเข้าใจ ใจความ ความหมาย นิยามไปในแต่ละคน อาจเหมือนกันต่างกันสุดแท้แต่กันไป .. ซึ่งหากจะนับจากความเป็นจริงรายละเอียดจะมีมากมายหลายหลากข้อ ดังนั้นเพื่อความเข้าใจโดยง่ายเอาแบบให้พอเห็นภาพกันได้เร็ว ๆ .. ผมจะขอว่าไว้แบบคร่าว ๆ เกริ่นนำเรื่องสักหน่อย …

…“มรดกโลก” คือสถานที่อะไรก็ได้ ได้แก่ ภูเขา ทะเลสาบ ทะเลทราย ผืนป่า ป่าไม้ สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ เมืองต่าง ๆ หรือแม้แต่อนุสาวรีย์ .. ซึ่งทั้งหมดนี้จะถูกคัดเลือกโดยองค์การยูเนสโก ..

…โดยมรดกโลกจะแบ่งได้ 2 ประเภทคือ 1. มรดกโลกทางวัฒนธรรม และ 2. มรดกโลกทางธรรมชาติ

…และสำหรับประเทศไทยเราเองก็มีทั้ง 2 ประเภทตามที่กล่าวมาให้เป็นความภาคภูมิใจของเราชาวไทย

…เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม 3 แห่ง และทางธรรมชาติ 2 แห่ง …

…มีสถานที่ดังนี้

     …มรดกโลกทางวัฒนธรรม 3 แห่ง..

     1. อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย และเมืองบริวาร(อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย และอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร

     2. นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา

     3. แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง

     …มรดกโลกทางธรรมชาติ 2 แห่ง…

     1. เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง

     2. ผืนป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่

…ส่วนเหตุผลว่าทำไมสถานที่แต่ละแห่งนั้นถึงได้รับคัดเลือกให้เป็นเมืองมรดกโลกนั้นมีเหตุผลต่าง ๆ แยกแยะไปหลายข้อ .. หากใครสนใจลองหาข้อมูลเพิ่มเติมกันเองได้ครับ… …และสำหรับภาพชุดนี้ผมขอนำเสนอ 1 ใน 5 มรดกโลกของบ้านเราคือ “อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย และเมืองบริวาร” โดยจะเดินทางไปกัน 2 จุดหมายปลายทางคือ “อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย และ อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย”… เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเราออกเดินทางไปพร้อมกันเลยครับ…

…การเดินทางครั้งนี้เริ่มต้นที่ตอนเช้าจากสนามบินดอนเมืองบินไปยังสนามบินพิษณุโลก และเช่ารถขับต่อไปยังทั้ง 2 จุดหมายปลายทาง อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย และ อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย ตามลำดับ.. …จากสนามบิน จ.พิษณุโลกขับรถมุ่งหน้าสู่เส้นทางหลวงหมายเลข 12 ไปยัง จ.สุโขทัยเพื่อถึงอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ระยะทางประมาณ 70 กิโลเมตร ใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก็เดินทางมาถึงเมืองมรดกโลกเป็นที่เรียบร้อย …ส่วนตัวผมเคยมาที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยครั้งนึงแล้วเมื่อ 3 ปีก่อน .. วันนี้ได้เดินทางกลับมาอีกครั้งจึงเหมือนการย้อนเวลากลับมาอีกหน… …เมื่อมาถึงก็ทำการชำระค่าเข้าชมโดยเสียค่ารถนำเข้า 50.- / คัน พร้อมกับรับแผนที่ผังเมืองเพื่อความสะดวกต่อการเที่ยวชม .. โดยแบ่งเป็น 2 โซนง่าย ๆ คือภายในกำแพงเมือง และรอบนอกกำแพงเมือง ซึ่งก็มีหลายจุดน่าสนใจแตกต่างกันไป โดยจุดแรกที่ขอแวะสัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งเมืองประวัติศาสตร์เป็นอันดับแรกคือ “วัดมหาธาตุ”…… “วัดมหาธาตุ” นับว่าเป็นวัดสำคัญวัดหนึ่งของสุโขทัย เพราะนอกจากจะเป็นที่เชื่อกันว่าบรรจุพระบรมสารีริกธาตุตามความเชื่อทางศาสนาพุทธแล้ว ที่เจดีย์ประธานยังมีเจดีย์ทรงดอกบัวตูมที่แสดงลักษณะเอกลักษณ์ของศิลปะสุโขทัยไว้อย่างแท้จริง

…โดยภายในบริเวณวัดมหาธาตุยังมีกลุ่มเจดีย์ และพระพุทธรูปต่าง ๆ ประดิษฐานอยู่ภายในพื้นที่ตามจุดต่าง ๆ กันออกไป…

…ภาพโดยรวมของอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยอย่างที่เห็นในภาพคือภายในกรอบสี่เหลี่ยมจะเป็นตำแหน่งของวัดต่าง ๆ รวมไปถึงบึงน้ำ สะพานไม้ จุดให้บริการต่าง ๆ ตั้งกระจายกันไปภายในพื้นที่สี่เหลี่ยมนี้ .. โดยพื้นที่ล้อมนอกก็จะเป็นวัดที่อยู่นอกกำแพงเมืองทั้ง 4 ด้าน…

…ป.ล. แผนที่ที่ได้รับจากอุทยานจะหน้าตาแบบนี้ครับ แต่ภาพนี้ผมนำมาจากเวป http://www.aksorn.com/lib/detail_print.php?topicid=768 เพราะมีรายละเอียดในส่วนของป้อมตำรวจ ยาม และกล้อง CCTV เพิ่มเติม .. ขอขอบคุณมา ณ ที่นี่ด้วยครับ

…เมื่อ 3 ปีก่อนครั้งแรกที่ผมได้มาที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยนั้นตรงกับช่วงวันเข้าพรรษาพอดี.. ซึ่งทางวัดก็มีการจัดงาน จัดให้บรรดาเหล่าพุทธศาสนิกชนได้มาทำบุญ ไหว้พระ สักการะ เวียนเทียนประกอบพิธีตามศาสนา ผู้คนที่มาในครั้งนั้นก็เลยหนาตาเป็นพิเศษหากเทียบกับครั้งนี้ที่ไม่ตรงกับวันสำคัญทางศาสนา……อย่างใน 3 ภาพนี้ก็เป็นอีกวิธีในการบันทึกภาพผ่านนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาจากประเทศฝรั่งเศส..มากัน 2 คน หนุ่มสาว… ฝ่ายชายนั่งวาด ฝ่ายหญิงก็นั่งอ่านหนังสือ.. ต่างกิจกรรมกัน แต่ได้รับความสุขเหมือนกัน

…อย่างภาพวาดสีน้ำที่เห็นถามดูแล้วฝ่ายชายบอกว่าวาดประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ .. และนี่ก็คือขั้นตอนสุดท้ายคือตากแดดรอให้สีแห้ง…

…วันที่เดินทางมานั้นตรงกับวันธรรมดาก็มีให้พบเห็นนักท่องเที่ยวเดินทางมาอยู่หลายกลุ่ม โดยเฉพาะชาวต่างชาติทั้งที่มากันเอง กับที่เป็นคณะทัวร์ … ซึ่งจากเท่าที่ผมได้คุยบ้างกับนักท่องเที่ยวที่เดินผ่านไปผ่านมาส่งมอบรอยยิ้มให้กัน มีบ้างที่เรากลายเป็นตากล้องจำเป็นเก็บภาพหมู่ให้ชาวต่างชาติกลุ่มใหญ่ พร้อมทักทายเล็กน้อยถามถึงว่าที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง…

…และที่ได้ยินจากปากนักท่องเที่ยวแทบเหมือนกันหมดว่า “Beautiful Place”.. แค่นี้เราก็ภูมิใจ…

…จากวัดมหาธาตุก็ไปยังวัดต่อไปที่อยู่ติดกันคือ “วัดศรีสวาย”… มีพื้นที่ไม่กว้างสักเท่าไหร่ โดยรูปแบบที่เห็นชัดจากภาพคือ ปราสาทเขมร 3 องค์เรียงกัน …

…พื้นที่เล็กเดินเก็บภาพได้สักนิดหน่อยก็ขับรถวนรอบไปยังวัดต่อไป แต่ยังคงอยู่ในพื้นที่กำแพงเมือง

… ต่อกันที่ภาพนี้ “วัดตระพังเงิน” ที่วัดแห่งนี้จะไม่มีกำแพงล้อมรอบ แต่อาศัยน้ำเป็นขอบเขตของวัด.. ซึ่งก็ตรงกับความหมายของคำว่า “ตระพัง” ในภาษาเขมรที่แปลว่า “สระน้ำ”..

…ซึ่งส่วนพื้นที่ของวัดตระพังเงินนี้ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของวัดมหาธาตุ…

…จากนั้นก็สลับจากการเก็บภาพในวัดต่าง ๆ มาเป็นถ่ายบรรยากาศรอบ ๆ มุมต่าง ๆ ภายในพื้นที่ด้านในกำแพงเมืองบ้าง…

…เห็นท้องฟ้าแล้วต้องบอกว่าชื่นใจมาก เพราะจากตอนเช้าที่เริ่มขับรถออกจากพิษณุโลกท้องฟ้ายังครึ้ม ๆ สีเทา ๆ แต่พอมาถึงอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยได้ไม่นานนักจนถึงตอนนี้บอกได้คำเดียวว่าแดดมาเต็ม……บรรยากาศภายในรื่นรมย์เงียบสงบ ความนิ่งของผืนน้ำบวกกับสายลมที่ไม่แรงนักทำให้ได้ภาพสะท้อนน้ำที่ชอบ ๆ กลับมาได้อยู่หลายใบ…

…สภาพอากาศรอบตัวในวันนี้หากเทียบกับฤดูฝนแล้วต้องบอกว่าโชคดีมากที่ได้เจอแดดดี ๆ อย่างตอนนี้ ……ที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยมีให้บริการรถรางนำเที่ยวรอบ ๆ ภายในจุดต่าง ๆ หรือใครอยากปั่นจักรยานทางสถานที่ก็มีให้เช่าอยู่เลือกบริการกันได้ .. แต่สำหรับผมก็เป็นขับรถเก๋งที่เช่ามาขับจอด ขับจอด แวะไปจุดนั้นจุดนี้เรื่อย ๆ …

…หากไม่รีบร้อนแข่งกับเวลามากมายนัก ก็ถือว่าไม่ค่อยเหนื่อยสักเท่าไหร่ .. เพราะร้อนก็เข้ารถขับรถเปิดแอร์ แต่ที่ดูจะเป็นไปตามสภาพร่างกายก็คือเรื่องเมื่อยเท้าที่เดินไปเดินมานี่แหละ ยิ่งอาการเอ็นข้อเท้าอักเสบอยู่ด้วยกันมาหลายปีแล้วทำให้เวลาเดินเยอะ ๆ ก็มีเจ็บจี๊ด ๆ ขึ้นมาได้เป็นพัก ๆ ..…และแล้วก็พักเหนื่อยด้วยก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยที่ขายอยู่ในโซนร้านค้า กินจนอิ่มเติมพลังเรียบร้อย ก็ขับรถเที่ยวกันอีกครั้ง…

…โดยคราวนี้ออกจากบริเวณภายในกำแพงเมืองไปยังด้านนอกกำแพงบ้างโดยไปกันที่เจดีย์เล็ก ๆ อย่างที่ “วัดสรศักดิ์” ในภาพต่อไป…… “วัดสรศักดิ์” มีพื้นที่อยู่ทางกำแพงเมืองด้านเหนือทางเดียวกับที่จะไปวัดที่มีชื่อเสียงอย่าง “วัดศรีชุม” …

…ลักษณะเด่นของวัดนี้ที่ทำให้ผมเลือกแวะเก็บภาพก็คือ เจดีย์ทรงกลมที่มีช้างล้อมอยู่รอบฐาน .. ตามความเชื่อที่ว่าช้างเป็นสัตว์พาหนะของพระเจ้าจักรพรรดิ์ ที่ควรคู่กับการค้ำจุนพุทธศาสนาให้ยั่งยืน…

…หลังจากผ่านพ้นช่วงบ่ายได้สักพักใหญ่ ช่วงบ่ายคล้อยแบบนี้ท้องฟ้าสีสวย ๆ ก็ค่อย ๆ หายไป .. ตามที่ได้ทำใจไว้เล็ก ๆ ว่าอากาศดีดีอาจอยู่กับเราได้ไม่นาน

…แต่จุดหมายที่จะไปเก็บภาพก็ยังไม่หมด .. จากนั้นก็ขับตรงต่อไปยัง “วัดศรีชุม” อีกหนึ่งวัดที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมเดินทางมาที่นี่กัน เรียกได้ว่าเป็นอีกไฮไลท์ของอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยเลยก็ว่าได้…… “วัดศรีชุม” มีพื้นที่ตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ .. เป็นอีกหนึ่งโบราณสถานที่สำคัญและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากในการเดินทางมายังโบราณสถานแห่งนี้…

…จุดเด่นของวัดนี้ได้แก่ พระพุทธรูปนั่งขนาดใหญ่ที่ประดิษฐานอยู่ในมณฑป โดยเชื่อกันว่าพระพุทธรูปองค์นี้ชื่อ “พระอจนะ” ซึ่งแปลว่า “ผู้ไม่หวั่นไหว”……อย่างที่เห็นในภาพตัวมณฑปนั้นเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปประทับนั่งปางมารวิชัย ขนาดความสูงจากยอดถึงฐาน 15 เมตร มีความกว้างหน้าตักราว 11 เมตรครึ่ง …

…จากตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาว่ากันว่าที่วัดศรีชุมนี้เป็นสถานที่ที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช มาประชุมทัพก่อนที่จะยกทัพไปปราบเมืองสวรรคโลก อันเป็นที่มาของตำนานเรื่อง “พระพุทธรูปพูดได้” ……พูดถึงเรื่องการถ่ายภาพภายในมณฑปของวัดศรีชุม บอกได้คำเดียวว่าถ้าไม่มีเลนส์มุมกว้างก็คงอาจเก็บภาพได้ไม่ครบทั้งองค์พระพุทธรูป… เพราะขนาดพื้นที่ภายในที่จำกัด…

…หลังจากถ่ายภาพจนพอใจจากนั้นก็เตรียมตัวขับรถกลับไปยังที่เดิม คือบริเวณภายในกำแพงเมืองด้านในเพื่อถ่ายภาพในมุมต่าง ๆ ต่อไป……แสงแดดจากตอนกลางวันค่อย ๆ คลายความร้อนแรงลงทีละน้อย… การถ่ายภาพเริ่มมีเวลากลางแจ้งมากขึ้นเพราะไม่ต้องคอยหลบแดดอยู่ใต้เงาไม้…

…จาก 3 ปีก่อนที่มาจนวันนี้อีกครั้งกับเจดีย์บางองค์ หรือวัดบางวัดก็อยู่ในช่วงบูรณะซ่อมแซมให้คงทน และเพื่อให้อยู่ได้นานยิ่งขึ้น… ขับรถวนไปรอบ ๆ แวะเก็บภาพในมุมที่ถูกใจเคล้ากับสายลมยามบ่ายแก่ ๆ ก็ทำให้เริ่มสัมผัสได้ถึงความสุขในวันที่ได้ออกมาอยู่ท่ามกลางพื้นที่อากาศดีดีเช่นนี้..

…ผมเชื่อว่าคงมีอีกหลายคนที่มาที่นี่แต่ไม่รู้เรื่องราวประวัติศาสตร์สักเท่าไหร่นัก(ยอมรับอย่างเต็มปากว่าผมเองก็คือหนึ่งในนั้นด้วย).. แต่พอได้ออกมาเที่ยวมาสัมผัสความงดงามเรียนรู้ถึงที่มาของแต่ละสถานที่ด้วยการอ่านป้ายบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ สักเล็กน้อยก่อนเดินเข้าวัด… ก็เป็นส่วนดีที่น่าจะทำให้เราได้อะไรกลับมาบ้างไม่มากก็น้อย…

…เปลี่ยนจากถ่ายภาพสถานที่แบบกว้าง ๆ เน้นภาพรวม ๆ มานั่งอยู่ริมน้ำเฝ้ามองสิ่งละอันพันละน้อย อย่างดอกบัว แมลง รวมแม้กระทั่งเงาจากเจดีย์ที่ปรากฏอยู่บนผืนน้ำก็ทำให้ใจเบา ๆ และได้ภาพที่ชอบ ๆ กลับมาได้อีกแบบ

…หลายครั้งที่ความเงียบสงบทำให้เกิดมุมมอง จินตนาการ และความสุขในหัวใจได้ง่าย ๆ ..…เวลาเริ่มเย็นลงไปทุกที แต่นักท่องเที่ยวต่างชาติก็ไม่ได้น้อยลงไปแต่อย่างใด .. ยังคงพบเห็นบรรยากาศท่องเที่ยวเก็บภาพในอากัปกิริยาต่าง ๆ กันทั้งที่จะมาคนเดียว หรือหลายคน..

…เห็นภาพแบบนี้แล้วชื่นใจครับที่แม้แต่ต่างชาติก็ยังประทับใจในความเป็นไทยของเรา…อาจเพราะด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่ และการปฏิบัติตามกฏภายในที่ไม่ส่งเสียงดังโวยวายจนเกินไปภายในพื้นที่ทำให้ทุกสิ่งรอบตัวค่อนข้างเงียบสงบ…

…เรียกได้ว่ากลมกลืนลงตัวไปกับธรรมชาติ และมนต์ขลังของโบราณสถานแห่งนี้……แสงแดดยามเย็นเวลานี้คลายตัวลงไปเยอะมากจากตอนกลางวัน… ในตอนนี้ใช้เวลาไปกับการค่อย ๆ เดินบ้าง นั่งบ้างเฝ้ามองดวงตะวัน และรอเวลาที่จะมีแสงสวย ๆ ให้เผื่ออาจได้เห็นบ้าง…

…ที่เหลือก็รอลุ้นให้เกิดท้องฟ้างาม ๆ ปรากฏให้เห็นตรงหน้าสักหน่อย.. โดยมุมที่ผมเลือกจะเก็บภาพยามเย็นอยู่ที่บริเวณวัดมหาธาตุ มุมที่เห็นทั้งเสาเจดีย์ และองค์พระพุทธรูปเบื้องหน้า……ปิดท้ายที่ภาพ และแสงสุดท้ายของวัน… ก่อนจะขับรถกลับไปยังบ้านพักที่ขับตระเวนหาไว้ในช่วงบ่าย … อาบน้ำพักผ่อนจนตัวเย็นหายเหนื่อยก็ออกมาหาร้านข้าวนั่งกินซึ่งก็อยู่ใกล้กับตัวอุทยาน .. สะดวกมากทีเดียว…

…ก่อนจะหลับตาลงเพื่อตื่นเช้าวันใหม่กับจุดหมายปลายทางต่อไป “อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย” ในวันรุ่งขึ้น…

…ติดตามชมตอนต่อไปที่ลิ๊งค์นี้เลยครับ

…เรื่อง / ภาพ : Forzanu

 

 

Facebook Comments
Please follow and like us:
20